บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ธันวาคม, 2014

สังวาสสูตรที่ ๒

สังวาสสูตรที่ ๒              [๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอยู่ร่วม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี ๑ ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ๑ ชายเทวดาอยู่ร่วม กับหญิงผี ๑ ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายผีอยู่ ร่วมกับหญิงผีอย่างไร สามีในโลกนี้เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดใน กาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มีความละโมบ มีจิต พยาบาท มีความเห็นผิด เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม มีใจอันมลทิน คือความ ตระหนี่ครอบงำ ด่าและบริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน แม้ภรรยาของเขา ก็เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายผีอยู่ร่วมกับ หญิงผีอย่างนี้แล ฯ              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร สามีในโลกนี้ เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้งดเว้นจากการ ฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการ พูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ ไ...

ธรรมะคือโอสถทิพย์

เป็นเช้าที่ตื่นมาเห็นการเกิดดับได้ดีอีกวันหนึ่ง จิตหลงไปยินดี ในกาย แล้วมาเศร้าหมองกับกาย ที่เปลี่ยนแปลง เป็นการเกิดดับของอารมณ์จริงๆ ที่ปรากฏ ทุกข์กายเป็นเรื่องปกติ แต่ทุกข์ใจไปกับกายเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย เมื่อจิตไหลไปห่วงกาย ก็แสดงว่ามีเราอยู่ แทนที่จะกำหนดในเวทนา ที่ปรากฏ กับไปยึด ว่าเราเจ็บ เราปวด ไปซะงั้น ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ หากท่านใดเข้ามาอ่านแล้วเกิดอาการ งง งง ก็น่าจะ งง อยู่ เพราะสิ่งที่โพสต์ เป็นสภาวะธรรมที่เกิดกับจิตดับพร้อมกับจิต ของผมเอง หรือถ้าจะเทียบแบบกางตำรา ก็คือการกำหนดแบบ ปฏิจสมุปบาท สายเกิด - สายดับ แต่ถ้ายัง งง งง อยู่ก็ ....รู้ไปก็เท่านั้น เมื่อเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยที่กาย หากใจเราเป็นกังวลกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ในปุถุชนที่ไม่ได้สดับ ก็จะเป็นทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจกับเหตุนั้นๆ ก็เป็นเรื่องที่ธรรมดาของโลก ส่วนปุถุชนผู้สดับ กลับมองเป็นการเกิดดับ เป็นอนิจจลักษณะ คือ เป็นเครื่องรู้ ว่าขันธ์ห้านั้นเป็นทุกข์ ก็เลยไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร กลับมอง อย่างปรมัตถ์ คือรู้ ตามความเป็นจริงที่ปรากฏ ที่มีอยู่ และมันเป็นจริง คือ เกิดขึ้นก็จริง ดับไปก็จริง ก็แค...

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค

รูปภาพ
พาหิรอนัตตสูตร              [๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่าน ทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตาม ความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ... ฯ   เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ บรรทัดที่ ๖๒ - ๖๘. หน้าที่ ๓ - ๔. ปางปฐมเทศนา วัดกลางวังเย็น อำเภอบางแพ จังหวัด ราชบุรี อตีตานาคตปัจจุปันนานิจจสูตร              [๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุที่เป็นอดีตและอนาคต เป็นของไม่เที่ยง จะกล่าวไปไยถึงจักษุอันเป็นปัจจุบันเล่า อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่มีเยื่อใยในจักษุที่เป็นอดีต ไม่เพลิดเพลินจักษุที่เป็นอนาคต ย่อมปฏิบัติ เพื่อเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับซึ่งจักษุที่เป็นปัจจุบั...

กายคตา กับ ชีวิตประจำวัน

รูปภาพ
กายคตา กับ ชีวิตประจำวัน  เมื่อใดที่ขยับ เคลื่อนไหว ส่วนใด ส่วนหนึ่งของร่างกาย มีความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว มีความรู้สึกที่ใจรับรู้ ถึงอาการเคลื่อนไหว เพียงแค่รู้สึกเท่านั้นพอ ไม่ต้องกำหนด จรดจ้อง จนกลายเป็นเพ่ง  ความรู้สึกแบบนี้ เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งแล้วดับสลายไป เกิดจากเกิดดับของจิตที่เข้าไปรับรู้ ที่กายเคลื่อนไหว เมื่อเข้าใจ หรือ เห็น จิตที่รับรู้ สิ่งที่มันปรากฏ ก็ไม่มีเรา อยู่ในนั้น มีเพียง สภาวะธรรม ที่เกิด ดับ เกิด ดับ ส่งต่ออารมณ์ต่อกันไปเรื่อยๆ เพ่งเมื่อไหร่ จะกลายเป็นความคิด เมื่อนั้น เอวัง ก็มีด้วยประการ ฉะนี้ สิ่งที่ปรากฏในขณะที่ใจเข้าไปรับรู้ กับสิ่งที่เข้าไปรู้ ที่ใจรู้อีกทีหนึ่ง ก็แค่รู้สึก สักแต่ว่า เท่านั้น ไม่มีเราเข้าไปเกี่ยวข้อง สิ่งที่เข้าไปรู้เป็นเพียงอารมณ์ของจิตอย่างหนึ่งที่แสดงออกมา ไม่มีศัพย์แสงอะไรที่ต้องไปรู้ว่าเรียกว่าอะไร เกิดแล้ว ก็ดับไป สลายไป อย่ามัวไปจรดจ้อง หาคำเรียก มันจะกลายเป็น สมมุติ ขึ้นมาทันที เพราะอาศัยความนึกคิด จึงมีรากศัพย์มากมายให้เรียกกัน เพียงแค่รู้ รู้แล้วก็จบ หมดกันไป ไม่มีอะไร ไม่ว่าอะไร ผ่านแล้วก็ผ่านไป...

กำแพงที่มันหายไป

รูปภาพ
เราครอบงำความคิดว่ามีเรา เราจึงสร้างกำแพงขึ้นมาในใจ เราเรียกมันว่า ตัวฉันนั่นไง สิ่งใดที่ชอบใจ ฉันชอบ ก็ไขว่คว้าเข้ามา สิ่งใดที่ไม่ชอบ ฉันเกลียด ก็ผลักไสออกไป สิ่งใดที่สูญเสีย ฉันอยากได้คืน มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมั๊ย ที่เคยเป็นของฉัน ตั้งแต่ฉันเกิดมาลืมตามองโลกใบนี้ แล้วยังอยู่ที่เดิม กับวันเวลาเดิมๆ มีบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่มี แล้วเราจะยึดอะไรที่มันไม่มีอยู่จริงทำไม เราจะพบตนตัวของสรรพสิ่งที่อยู่รอบๆก็มลายหายไป เหลือไว้แต่ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปร ใดๆในโลกนี้ล้วนอนิจจัง ไม่มีอะไรที่มีจริงบนโลกใบนี้ แม้แต่ตัวของเราเอง Thewall กำแพงที่มันหายไป 6/12/2557