ธรรมะคือโอสถทิพย์

เป็นเช้าที่ตื่นมาเห็นการเกิดดับได้ดีอีกวันหนึ่ง
จิตหลงไปยินดี ในกาย แล้วมาเศร้าหมองกับกาย
ที่เปลี่ยนแปลง เป็นการเกิดดับของอารมณ์จริงๆ ที่ปรากฏ
ทุกข์กายเป็นเรื่องปกติ แต่ทุกข์ใจไปกับกายเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย
เมื่อจิตไหลไปห่วงกาย ก็แสดงว่ามีเราอยู่ แทนที่จะกำหนดในเวทนา
ที่ปรากฏ กับไปยึด ว่าเราเจ็บ เราปวด ไปซะงั้น
ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ หากท่านใดเข้ามาอ่านแล้วเกิดอาการ งง งง
ก็น่าจะ งง อยู่ เพราะสิ่งที่โพสต์ เป็นสภาวะธรรมที่เกิดกับจิตดับพร้อมกับจิต
ของผมเอง
หรือถ้าจะเทียบแบบกางตำรา ก็คือการกำหนดแบบ ปฏิจสมุปบาท
สายเกิด - สายดับ แต่ถ้ายัง งง งง อยู่ก็ ....รู้ไปก็เท่านั้น
เมื่อเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยที่กาย หากใจเราเป็นกังวลกับสิ่งที่กำลังปรากฏ
ในปุถุชนที่ไม่ได้สดับ ก็จะเป็นทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจกับเหตุนั้นๆ
ก็เป็นเรื่องที่ธรรมดาของโลก
ส่วนปุถุชนผู้สดับ กลับมองเป็นการเกิดดับ เป็นอนิจจลักษณะ คือ เป็นเครื่องรู้
ว่าขันธ์ห้านั้นเป็นทุกข์ ก็เลยไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร กลับมอง อย่างปรมัตถ์ คือรู้
ตามความเป็นจริงที่ปรากฏ ที่มีอยู่ และมันเป็นจริง คือ เกิดขึ้นก็จริง ดับไปก็จริง
ก็แค่นั้นเอง ก็เลยไม่ได้ไปทุกข์อะไรกับสิ่งที่กำลังปรากฏ รักษาได้ก็รักษาไป รักษาไม่ได้ ตายก็ไม่ว่าอะไร ไม่ตายก็ไม่เห็นจะมีอะไร
ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่เหมือนอาหารสำเร็จรูป ที่ใช้เวลาน้อยและเกิดผลเร็ว
หากสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น ต้องอาศัยความเข้าใจจริงๆ ในสามัญลักษณะ
สามัญลักษณะ หมายถึงภาวะที่เกิดขึ้น ภาวะที่มีที่เป็นแก่สังขารคือสรรพสิ่งทั้งปวงอย่างเสมอภาคกัน ไม่มียกเว้น ไม่ว่าสังขารนั้นจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไตรลักษณ์ คือลักษณะประจำ 3 ประการของสังขาร และเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมนิกาย คือกฎธรรมดาหรือข้อกำหนดที่แน่นอนของสังขารทั้งปวง
           เมื่อไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น ว่านี่เป็นเรา เกิดขึ้นแก่เรา  ก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งนั้นๆ ก็วางเอาไว้เฉยๆ สิ่งใดปรากฏ ไม่ว่า จะเป็น บุคคล ตัว ตน เรา เขา สิ่งของ สภาพแวดล้อม สิ่งใดที่เข้ามากระทบ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผัสสะ ซึ่งต้องอิงอาศัย สฬายตนะ ผัสสะ อย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ต้องอาศัยกันประกอบกัน (สฬายตนะ หมายถึง อายตนะภายในหกอย่าง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
            ในอีกลักษณะหนึ่ง คือ อยู่กับปัจจุบัน ไม่อิงแอบแนบข้างไปในอดีต ไม่ทยานโลดแล่นไปในอนาคต การเกิดดับ ก็เกิดแบบนี้ ดับก็ดับแบบนี้ อาทิ เมื่อเรากำลังทุกข์ทรมานด้วยอาการเจ็บปวดของกาย จะเนื่องจากเหตุใด ก็ไม่ต้องไปสืบค้นหาว่า มันเกิดขึ้นเพราะอะไร นี่คือ การโลดแล่นไปในอนาคต หรือไปกังวล หรือวิตกไปว่า มันเป็นเป็นไปได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ ยังดีๆอยู่เลย ยังไม่มีอาการรุนแรงแบนี้ นี่คือ อิงแอบแนบแน่นไปกับอดีตที่มันผ่านไปแล้ว
           จิต ก็คือ จิต จะให้หยุดอยู่นิ่งๆ เหมือนไม้หลัก ปักดิน คงเป็นไปไม่ได้ ย่อมมีการไหลไปในอดีตบ้าง ไหลไปอนาคตบ้าง ไหลไปทางนั้นทีทางนี้ที ปุถุชนที่สดับ ก็เพียงแต่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ คือ จิตไหลไปคิดก็รู้ว่าจิตคิด จิตไหลไปทางไหนก็ให้รู้ในปัจจุบันที่กำลังปรากฏก็พอ ไปต้องไหลตามจิตไปในกาลที่ผ่านมาแล้ว ไม่ต้องเกาะติดสถาณะการณ์ของจิตที่ไหลไปในอนาคต ทั้งสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี  รู้ รู้ รู้  รู้ รู้ รู้  รู้ รู้ รู้  รู้ รู้ รู้  รู้ รู้ รู้  รู้ รู้ รู้  รู้ รู้ รู้  รู้ รู้ รู้  รู้ รู้ รู้  รู้ รู้ รู้  กำหนด
รู้ไปเรื่อยๆ มีงานการใดก็ทำไป ก็ตามรู้มันไปอย่างนั้น เดี๋ยวมันก็หยุดหนีเอง
           เมื่อเกิดความเจ็บป่วยขึ้นมา ก็ให้รู้อยู่แบบนี้ อย่าเข้าใจผิดนะว่า รู้แล้วมันจะไม่เจ็บ ไม่ป่วย คงต้องร่ายกันยาวกว่านี้ คงต้องฝึกมากกว่านี้ จนกายกับใจแยกกันเป็นอิสระนั่นแล้ว ถึงจะบรรเทาลงไปโดยไม่พึ่งยารักษา ถ้าสามารถทำจิตให้อาจหาญ ได้ โรคภัยไข้เจ็บก็ทำอะไรเราไม่ได้ ยกตัวอย่าง พระคิริมานนท์ที่ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าแล้วอาการไข้ที่เป็นอย่างหนักก็มลายหายไป 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กฏกติกามารยาทของพระสงฆ์ ที่เรียกว่า ศีล 227

ปฏิทินลวงโลก

วิธีจุดไฟแบบอัจฉริยะ