กฏกติกามารยาทของพระสงฆ์ ที่เรียกว่า ศีล 227
ในที่องค์กรใด สถาบัน สถานที่ หรือ โครงใดใดที่มีบุคคลหลากหลายฝ่ายเข้าไปเกี่ยวข้องย่อมมีการตั้งกฏ กติกา หรือ ระเบียบการให้บุคคลเหล่านั้นได้เข้าใจและไปในทิศทางเดียวกัน ในพระพุทธศาสนาก็มีกฏ ระเบียบ ข้อปฏิบัติ ให้ผู้มีส่วนร่วมในพระพุทธศาสนาได้ถือปฏิบัติร่วมกัน เพื่อความยั้งยืนนานแห่งพระศาสนา เพื่อความเจริญ เพื่อความเป็นปึกแผ่น เพื่อทำให้สมาชิก หรือ บุคคลได้ถือปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกันในส่วนที่เกี่ยวข้องหลักได้แก่ ภิกษุ และภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะภิกษุ หรือ พระภิกษุ หรือ พระสงฆ์ หน้าที่หลักของท่านคือ ศึกษาศีลปาฏิโมก ที่ต้องสวดกันทุกกึ่งเดือน ในศีลปาฏิโมกนั้นมีกล่าวถึงในพระไตรปิฎก ที่ประกอบด้วย วินัยปิฎก พระสุดตันตปิฎก พระอภิธรรม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับศีลสืบค้นดูได้จาก พระวินัยปิฎกเล่มที่ 1 และ 2 ตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 227 มีความเป็นมาของศีลแต่ละข้อเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ในที่นี้จะนำมาเฉพาะศีลข้อห้ามของพระสงฆ์ทั้ง 227 ข้อ หรือ ที่เรียกอีกอย่างว่า กฏกติกามารยาทของสงฆ์
มีการแบ่งหนักเบาของศีลที่ทำให้สิ้นสุดสมณเพศ หรือ สินสุดการเป็นพระสงฆ์ที่เรียกว่า ปาราชิก 4
สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ
อนิยต มี ๒ ข้อ (อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ ข้อ
ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)
เส ขิยะ (ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท)แบ่งเป็นสารูปมี ๒๖ ข้อ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ) โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)
ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ (เบ็ดเตล็ด)
อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)
รวม ทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิกษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิด ได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว
ปาราชิกมี ๔ ข้อ ได้แก่่
อนิยต มี ๒ ข้อ (อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ ข้อ
ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)
เส ขิยะ (ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท)แบ่งเป็นสารูปมี ๒๖ ข้อ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ) โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)
ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ (เบ็ดเตล็ด)
อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)
รวม ทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิกษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิด ได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว
ปาราชิกมี ๔ ข้อ ได้แก่่
- เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
- ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
- พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) หรือ แสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
กล่าว
อวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐอย่างสมารถ
น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง
แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง
สังฆาทิเสสมี ๑๓ ข้อ ได้แก่
- ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน
- เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ
- พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี
- การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม ถ่อยคำพาดพิงเมถุน
- ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือ แม้แต่หญิงขายบริการ
- สร้างกุฏิด้วยการขอ
- สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น
- แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
- แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
- ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
- เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
- เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
- ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์
อนิยตกัณฑ์ มี 2 ข้อ ได้แก่
- การ นั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรี และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ พูดขึ้นด้วยธรรม 3 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี ปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
- ใน สถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี 30 ข้อ ถือเป็นความผิดได้แแก่
- เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน 10 วัน
- อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
- เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด 1 เดือน
- ใช้ภิกษุณีซักผ้า
- รับจีวรจากมือของภิกษุณี
- ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
- รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
- พูดทำนองขอจีวรดีๆกว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
- พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆมาถวาย
- ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า 3 ครั้ง
- หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม
- หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ)ดำล้วน
- ใช้ขนเจียมดำเกิน 2 ส่วนใน 4 ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง
- หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง 6 ปี
- เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย
- นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน 3 โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
- ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติทำความสะอาดขนเจียม
- รับเงินทอง
- ซื้อขายด้วยเงินทอง
- ซื้อขายโดยใช้ของแลก
- เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน 10 วัน
- ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน 5 แห่ง
- เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน 7 วัน
- แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด 1 เดือนก่อนหน้าฝน
- ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
- ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
- กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
- เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายเพื่ออยู่พรรษา)เกินกำหนด
- อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน 6 คืน
- น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน
ปาจิตตีย์ มี 92 ข้อได้แก่
- ห้ามพูดปด
- ห้ามด่า
- ห้ามพูดส่อเสียด
- ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน
- ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมปัน(ผู้ไม่ใช่ภิกษุ)เกิน 3 คืน
- ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง
- ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
- ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช
- ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช
- ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด
- ห้ามทำลายต้นไม้
- ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
- ห้ามติเตียนภิกษูผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
- ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
- ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
- ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
- ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์
- ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน
- ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน 3 ชั้น
- ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน
- ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย
- ห้ามสอนภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว
- ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่
- ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ
- ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
- ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
- ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี
- ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน
- ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย
- ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี
- ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
- ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน 3 มื้อ
- ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น
- ห้ามบิณฑบาตเกิน 3 บาตร
- ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร้จแล้ว
- ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด
- ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
- ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
- ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง
- ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
- ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลื่อยและนักบวชอื่นๆ
- ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
- ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีตน 2 คน
- ห้ามนั่งในที่ลับตาที่กำบังกับมาตุคาม(ผู้หญิง)
- ห้ามนั่งในที่ลับ(หู)สองต่อสองกับมาตุคาม
- ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
- ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
- ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
- ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน 3 คืน
- ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
- ห้ามดื่มสุราเมรัย
- ห้ามจี้ภิกษุ
- ห้ามว่ายน้ำเล่น
- ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
- ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
- ห้ามติดไฟเพื่อผิง
- ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
- ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
- วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้)
- ห้ามเล่นซ้อนบริขารของภิกษุอื่น
- ห้ามฆ่าสัตว์
- ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
- ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์ (คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
- ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
- ห้ามบวชบุคคลอายไม่ถึง 20 ปี
- ห้ามบวชพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
- ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
- ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย(ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน 3 ครั้ง)
- ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
- ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
- ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
- ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
- ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
- ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
- ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
- ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
- ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
- ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
- ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
- ขณะประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
- ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้้ามติเตียนภายหลัง
- ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
- ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
- ห้ามเก็บของที่ค่าที่ตกอยู่
- เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
- ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
- ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
- ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
- ห้ามทำผ้าปูที่นอนมีขนาดเกินประมาณ
- ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
- ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
- ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ
ปาฏิเทสนิยะ มี 4 ข้อได้แก่
- ห้ามรับของขบเคีั้ยว ของฉันจากมือภิกษุณัมาฉัน
- ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
- ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ(อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
- ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า
เสขิยะ สารูป มี 26 ข้อได้แก่
- นุ่งให้เป็นปริมณฑล(ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
- ห่มให้เป็นปริมณฑล(ให้ชายผ้าเสมอกัน)
- ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
- ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
- สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
- สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
- มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
- มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน
- ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
- ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน
- ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน
- ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน
- ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน
- ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
- ไม่โคลงกายไปในบ้าน
- ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
- ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
- ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
- ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
- ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
- ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
- ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
- ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
- ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
- ไม่เดินกระโหย่งเท้าไปในบ้าน
- ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน
โภชนปฏิสังยุตต์ มี 30 ข้อคือหลักในการฉันอาหารได้แก่
- รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
- ในขณะบิณฑบาตจะดูแลแต่ในบาต
- รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง(ไม่รับแกงมากเกินไป)
- รับบิณฑบาตแค่พอเสมอปากบาตร
- ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
- ในขณะฉันบิณฑบาตและดูแต่ในบาตร
- ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ(ไม่ขุดให้แหว่ง)
- ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป
- ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
- ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
- ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้
- ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
- ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
- ทำคำข้าวให้กลมกล่อม
- ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง
- ไม่เอามือทั้งสองใส่ปากในขณะฉัน
- ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยูในปาก
- ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
- ไม่ฉันกัดคำข้าว
- ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
- ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
- ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
- ไม่ฉันแลบลิ้น
- ไม่ฉันดังจับๆ
- ไม่ฉันดังซูดๆ
- ไม่ฉันเลียมือ
- ไม่ฉันเลียบาตร
- ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
- ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
- ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน
ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์มี 16 ข้อได้แก่
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท้า (รองเท้าไม้)
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมสีรษะ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป้นไข้ที่อยู่บนอาสนะ(หรือเครื่องปูนั่ง)โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
- ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
- ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
- ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง
ปกิณเสถะ มี 3 ข้อได้แก่
- ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
- ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว
- ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ
อธิกรณสมถะ มี 7 ข้อได้แก่
- ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
- ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
- ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
- ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
- ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประธาน
- ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
- ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น