กฏกติกามารยาทของพระสงฆ์ ที่เรียกว่า ศีล 227

         ในที่องค์กรใด สถาบัน สถานที่ หรือ โครงใดใดที่มีบุคคลหลากหลายฝ่ายเข้าไปเกี่ยวข้องย่อมมีการตั้งกฏ กติกา หรือ ระเบียบการให้บุคคลเหล่านั้นได้เข้าใจและไปในทิศทางเดียวกัน ในพระพุทธศาสนาก็มีกฏ ระเบียบ ข้อปฏิบัติ ให้ผู้มีส่วนร่วมในพระพุทธศาสนาได้ถือปฏิบัติร่วมกัน เพื่อความยั้งยืนนานแห่งพระศาสนา เพื่อความเจริญ เพื่อความเป็นปึกแผ่น เพื่อทำให้สมาชิก หรือ บุคคลได้ถือปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกันในส่วนที่เกี่ยวข้องหลักได้แก่ ภิกษุ และภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะภิกษุ หรือ พระภิกษุ หรือ พระสงฆ์ หน้าที่หลักของท่านคือ ศึกษาศีลปาฏิโมก ที่ต้องสวดกันทุกกึ่งเดือน ในศีลปาฏิโมกนั้นมีกล่าวถึงในพระไตรปิฎก ที่ประกอบด้วย วินัยปิฎก พระสุดตันตปิฎก พระอภิธรรม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับศีลสืบค้นดูได้จาก พระวินัยปิฎกเล่มที่ 1 และ 2 ตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 227 มีความเป็นมาของศีลแต่ละข้อเกิดขึ้นมาได้อย่างไร  ในที่นี้จะนำมาเฉพาะศีลข้อห้ามของพระสงฆ์ทั้ง 227 ข้อ หรือ ที่เรียกอีกอย่างว่า กฏกติกามารยาทของสงฆ์

            มีการแบ่งหนักเบาของศีลที่ทำให้สิ้นสุดสมณเพศ หรือ สินสุดการเป็นพระสงฆ์ที่เรียกว่า ปาราชิก 4 
สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ
อนิยต มี ๒ ข้อ (อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ ข้อ
ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)
เส ขิยะ (ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท)แบ่งเป็นสารูปมี ๒๖ ข้อ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ) โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)
ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ (เบ็ดเตล็ด)
อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)
รวม ทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิกษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิด ได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว
                                                  
                    ปาราชิกมี ๔ ข้อ ได้แก่่
  1. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
  2. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
  3. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) หรือ แสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์ 

กล่าว อวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐอย่างสมารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง

สังฆาทิเสสมี ๑๓ ข้อ ได้แก่

  1. ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน
  2. เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ
  3. พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี
  4. การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม ถ่อยคำพาดพิงเมถุน
  5. ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย  แม้สามีกับภรรยา หรือ แม้แต่หญิงขายบริการ
  6. สร้างกุฏิด้วยการขอ
  7. สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น
  8. แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
  9. แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
  10. ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
  11. เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
  12. เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
  13. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์
                                                        อนิยตกัณฑ์ มี 2 ข้อ ได้แก่
  1. การ นั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรี และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ พูดขึ้นด้วยธรรม 3 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี ปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
  2. ใน สถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
                                                      นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี 30 ข้อ ถือเป็นความผิดได้แแก่
  1. เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน 10 วัน
  2. อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
  3. เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด 1 เดือน
  4. ใช้ภิกษุณีซักผ้า
  5. รับจีวรจากมือของภิกษุณี
  6. ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
  7. รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
  8. พูดทำนองขอจีวรดีๆกว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
  9. พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆมาถวาย
  10. ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า 3 ครั้ง
  11. หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม
  12. หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ)ดำล้วน
  13. ใช้ขนเจียมดำเกิน 2 ส่วนใน 4 ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง
  14. หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง 6 ปี
  15. เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย
  16. นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน 3 โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
  17. ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติทำความสะอาดขนเจียม
  18. รับเงินทอง
  19. ซื้อขายด้วยเงินทอง
  20. ซื้อขายโดยใช้ของแลก
  21. เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน 10 วัน
  22. ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน 5 แห่ง
  23. เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน 7 วัน
  24. แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด 1 เดือนก่อนหน้าฝน
  25. ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
  26. ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
  27. กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
  28. เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายเพื่ออยู่พรรษา)เกินกำหนด
  29. อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน 6 คืน
  30. น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน
                                                   ปาจิตตีย์ มี 92 ข้อได้แก่
  1. ห้ามพูดปด
  2. ห้ามด่า
  3. ห้ามพูดส่อเสียด
  4. ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน
  5. ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมปัน(ผู้ไม่ใช่ภิกษุ)เกิน 3 คืน
  6. ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง
  7. ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
  8. ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช
  9. ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช
  10. ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด
  11. ห้ามทำลายต้นไม้
  12. ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
  13. ห้ามติเตียนภิกษูผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
  14. ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
  15. ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
  16. ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
  17. ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์
  18. ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน
  19. ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน 3 ชั้น
  20. ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน
  21. ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย
  22. ห้ามสอนภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว
  23. ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่
  24. ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ
  25. ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
  26. ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
  27. ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี
  28. ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน
  29. ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย
  30. ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี
  31. ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
  32. ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน 3 มื้อ
  33. ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น
  34. ห้ามบิณฑบาตเกิน 3 บาตร
  35. ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร้จแล้ว
  36. ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด
  37. ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
  38. ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
  39. ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง
  40. ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
  41. ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลื่อยและนักบวชอื่นๆ
  42. ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
  43. ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีตน 2 คน
  44. ห้ามนั่งในที่ลับตาที่กำบังกับมาตุคาม(ผู้หญิง)
  45. ห้ามนั่งในที่ลับ(หู)สองต่อสองกับมาตุคาม
  46. ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
  47. ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
  48. ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
  49. ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน 3 คืน
  50. ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
  51. ห้ามดื่มสุราเมรัย
  52. ห้ามจี้ภิกษุ
  53. ห้ามว่ายน้ำเล่น
  54. ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
  55. ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
  56. ห้ามติดไฟเพื่อผิง
  57. ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
  58. ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
  59. วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้)
  60. ห้ามเล่นซ้อนบริขารของภิกษุอื่น
  61. ห้ามฆ่าสัตว์
  62. ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
  63. ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์ (คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
  64. ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
  65. ห้ามบวชบุคคลอายไม่ถึง 20 ปี
  66. ห้ามบวชพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
  67. ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
  68. ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย(ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน 3 ครั้ง)
  69. ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
  70. ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
  71. ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
  72. ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
  73. ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
  74. ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
  75. ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
  76. ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
  77. ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
  78. ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
  79. ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
  80. ขณะประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
  81. ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้้ามติเตียนภายหลัง
  82. ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
  83. ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
  84. ห้ามเก็บของที่ค่าที่ตกอยู่
  85. เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
  86. ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
  87. ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
  88. ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
  89. ห้ามทำผ้าปูที่นอนมีขนาดเกินประมาณ
  90. ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
  91. ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
  92. ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ
                                             ปาฏิเทสนิยะ มี 4 ข้อได้แก่
  1. ห้ามรับของขบเคีั้ยว ของฉันจากมือภิกษุณัมาฉัน
  2. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
  3. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ(อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
  4. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า
                                           เสขิยะ สารูป มี 26 ข้อได้แก่
  1. นุ่งให้เป็นปริมณฑล(ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
  2. ห่มให้เป็นปริมณฑล(ให้ชายผ้าเสมอกัน)
  3. ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
  4. ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
  5. สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
  6. สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
  7. มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
  8. มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน
  9. ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
  10. ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน 
  11. ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน 
  12. ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน
  13. ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน
  14. ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
  15. ไม่โคลงกายไปในบ้าน
  16. ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
  17. ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
  18. ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
  19. ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
  20. ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
  21. ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
  22. ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
  23. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
  24. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
  25. ไม่เดินกระโหย่งเท้าไปในบ้าน
  26. ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน
                                            โภชนปฏิสังยุตต์ มี 30 ข้อคือหลักในการฉันอาหารได้แก่
  1. รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
  2. ในขณะบิณฑบาตจะดูแลแต่ในบาต
  3. รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง(ไม่รับแกงมากเกินไป)
  4. รับบิณฑบาตแค่พอเสมอปากบาตร
  5. ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
  6. ในขณะฉันบิณฑบาตและดูแต่ในบาตร
  7. ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ(ไม่ขุดให้แหว่ง)
  8. ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป
  9. ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
  10. ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
  11. ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้
  12. ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
  13. ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
  14. ทำคำข้าวให้กลมกล่อม
  15. ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง
  16. ไม่เอามือทั้งสองใส่ปากในขณะฉัน
  17. ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยูในปาก
  18. ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
  19. ไม่ฉันกัดคำข้าว
  20. ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
  21. ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
  22. ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
  23. ไม่ฉันแลบลิ้น
  24. ไม่ฉันดังจับๆ
  25. ไม่ฉันดังซูดๆ 
  26. ไม่ฉันเลียมือ
  27. ไม่ฉันเลียบาตร
  28. ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
  29. ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
  30. ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน
                                        ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์มี 16 ข้อได้แก่
  1. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
  2. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
  3. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ
  4. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
  5. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท้า (รองเท้าไม้)
  6. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า
  7. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน
  8. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน
  9. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
  10. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
  11. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมสีรษะ
  12. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป้นไข้ที่อยู่บนอาสนะ(หรือเครื่องปูนั่ง)โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
  13. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
  14. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
  15. ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
  16. ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง
                                        ปกิณเสถะ มี 3 ข้อได้แก่
  1. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
  2. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว
  3. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ
                                       อธิกรณสมถะ มี 7 ข้อได้แก่
  1. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
  2. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
  3. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
  4. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้)  ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
  5. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประธาน
  6. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
  7. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือ ความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปฏิทินลวงโลก

วิธีจุดไฟแบบอัจฉริยะ