นักโทษประหาร ตัดหัว คนสุดท้าย...นาย บุญเพ็ง หีบเหล็ก
"บุญเพ็ง"
เป็นพระนอกรีตที่ถูกจับสึกเพราะทำผิดวินัยสงฆ์ต่อมาตั้งตนเป็นอาจารย์
มีคาถาอาคมทำเสน่ห์เมตตามหานิยมให้ผู้ที่เชื่อในเรื่องของคุณไสย
และลงมือสังหารเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคนแล้วคนเล่าเพียงเพื่อต้องการทรัพย์
สมบัติมาเป็นของตน โดยอำพรางคดีด้วยการหั่นศพใส่หีบเหล็ก
และในที่สุดวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นก็แสดงอาถรรพ์ให้ทกคนได้เห็น จนในที่สุด
"บุญเพ็ง" ก็ถูกจับและศาลตัดสินประหารชีวิตด้วยการกุดหัวเป็นคนสุดท้าย
เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม
๒๔๖๒ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบ
ประชาธิปไตย
หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ช่วงนั้นได้มีการประหารนักโทษสำคัญท่านหนึ่ง ซึ่งที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นว่า "บุญเพ็ง" ซึ่งก่อคดีฆ่าคน ตายหลายชีวิต และศพที่ "บุญเพ็ง" ฆ่านั้นก็ได้นำมาใส่หีบเหล็ก แล้วโยนทิ้งน้ำทุกครั้ง
ประวัติ ชีวิตของบุญเพ็งที่ถูกต้องคือบุญเพ็งเกิดเมื่อปีขาล ที่ท่าอุเทน มณฑลอุดร บิดาเป็นชาวจีน มารดาเป็น “ลาว”(ในสมัยนั้นคนภาคกลางยังเรียกคนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่าพวกลาว) มาอยู่กรุงเทพตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ
เดิม"บุญเพ็ง" เป็นชายหนุ่มรูปงามนักเป็นที่เลื่องลือ และกล่าวขาน เขากำพร้าพ่อแม่แต่เล็ก อยู่กับตายาย ชื่อตาสุก และยายเพียร ซึ่งเฝ้าเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมมา
นอก จากเขาจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น เขายังมีกิริยานอบน้อม เจรจาพาทีไพเราะ จนสาว ๆ ทั้งหลายทอดสายตาให้ วิชาที่บุญเพ็งเรียนมา เป็นวิชาที่ไม่ให้คุณใคร และตาสุก ยายเพียรตระหนักดี แกคอยห้ามปราม ต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากบุญเพ็งเท่าที่ควร
หนุ่ม บุญเพ็ง ไม่เอาไหน งานการไม่อยากทำ โดยปล่อยให้ตายาย ไปทำนาตามประสา ส่วนตัวเองกลับสนใจวิชาทางด้านไสยศาสตร์เวทมนต์และ ได้ไปขอเรียนวิชาอาคม กับ ตาไปล่ สัปเหร่อวัดไผ่เคาะ ผู้มีวิชาดี ทาง กำจัดภูตผี ปีศาจ และทำเสน่ห์ยาแฝด และหมอดู บุญเพ็งเรียนจบครบหลักสูตรวิชาไสยศาสตร์
ต่อ มาเขาได้เติบโตเป็นหนุ่ม ถูกตายายดุด่า ห้ามปรามไม่ให้เล่นวิชาไสยศาสตร์ เขาจึงทนไม่ไหว และมุ่งหน้าเข้าสู่บางลำภู ที่บางกอก (กรุงเทพฯ) มาตั้งสำนักหมอผี อยู่ในสวน ใกล้คลองบางลำภู เปิดสำนักดูหมอสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิต รับทำเมตตามหานิยม เสน่ห์ยาแฝด และไสยศาสตร์ ซึ่งขณะนั้นมีคนมาหาแวะเวียนมากมาย

เมื่อ อายุ ๒๐ ปี ได้บวชเป็นภิกษุที่วัดเทวราชกุญชรแต่ประพฤติตนไม่ดีจึงถูกขับไล่ออกจากวัด และมาขอจำพรรษาที่วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งในตอนแรกเจ้าอาวาสไม่ยอม แต่บุญเพ็งสัญญาว่าจะประพฤติดี เจ้าอาวาสจึงยอม เป็นเวลาเก้าปีที่บุญเพ็งเป็นพระในพุทธศาสนา ตลอดระยะเวลาที่ครองผ้าเหลือง พระบุญเพ็งเป็นพระที่ปฏิบัติแต่กิจไม่พึงควร ล่วงอาบัติหลายประการ อาทิ ดื่มสุรา และเล่นการพนัน ก่อการไม่สงบร่วมกับพรรคพวกในวัด และได้ถูกจับสึกในที่สุด แต่ก่อนสึกนั้น พ.ศ.๒๔๖๑-๒๔๖๒ กลางสมัยรัชการที่ ๖ บุญเพ็งได้ก่อคดีฆ่าคนโดยการยัดศพใส่หีบเหล็กถ่วงน้ำ ๒ ศพ (เพียงสองศพเท่านั้น) คือนายล้อมและนางปริก โดยทั้งหมดฆ่าเพียงชิงทรัพย์เพื่อเอาเงินไปซื้อสุรามาดื่มกินและไปเล่นพนัน ในวัด ซึ่งถือว่าเป็นพระภิกษุที่ประพฤติชั่ว ไม่สมควรจะอยู่ในร่มเงาของศาสนา
หีบที่ใส่เหยื่อราย แรกลอยตามน้ำและปรากฏขึ้นเมื่อปลาย พ.ศ.๒๔๖๐ พบโดยชาวบ้านที่หากินด้วยการงมกุ้งตามแม่น้ำลำคลอง ได้พบหีบใบหนึ่งจมอยู่ก้นคลองบางกอกน้อย
เมื่อเปิดหีบออกมา ดูก็พบศพชายคนหนึ่งบรรจุอยู่ในนั้น ทราบภายหลังว่าเป็นนายล้อม พ่อค้าเพชรพลอย จากการสืบสวนพบว่าของมีค่าติดตัวได้หายไป จึงทราบว่านี้เป็นการฆ่าชิงทรัพย์
ต่อมาไม่นาน เวลาโพล้เพล้ของวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๑ ชาวบ้านย่านวัดไทรม้า จังหวัดนนทบุรีผู้หนึ่ง ก็พบหีบเหล็กใบหนึ่งลอยอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัด
เมื่อ ช่วยกันกับชาวบ้านอีกคนชักลากหีบขึ้นมาเปิด ผู้คนที่มาดูต่างตะลึง...ในนั้นมีศพผู้หญิงถุกมัดมือมัดเท้านั่งยองๆ ยัดใส่อยู่ในหีบใบนั้นพร้อมมุ้งคลุมศพ และก้อนอิฐถ่วงหีบศพอีก ๘ ก้อน
อำมาตย์ เอกพระยานนทบุรี นครบาลจังหวัดนนทบุรี เริ่มสืบหาผู้ปกครองของหญิงเคราะห์ร้ายทันที โดยแจ้งลงในหนังสือพิมพ์ “กรุงเทพฯ เดลิเมล์” ประจำวันอังคารที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๑ และเพียงวันเดียวคดีหีบลอยน้ำก็คลี่คลายไขปริศนาอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าเป็นศพของนางปริก ภรรยาขุนสิทธิคดี(ปลั่ง) เป็นคนรวย มีทรัพย์สินมากคนหนึ่ง เช่าห้องอยู่ตึกแถวถนนบกทหารเรือ(ย่านที่ขายมุ้งหมอนข้างถนนพาหุรัด)
มารดา ของผู้ตาย เข้าแจ้งกับตำรวจว่า นางปริกลูกสาว แต่งตัวไปงานสวยจิตรรลดาตั้งแต่วันที่ ๗ มกราคม โดยก่อนออกจากบ้านวันนั้นเธอได้รับจดหมายจากนายบุฯเพ็ง(ซึ่งมีความผูกพันใน สมัยบุญเพ็งยังบวชอยู่) ให้ไปรับสร้อยที่นาบบุญเพ็งยืมไป แล้วจากนั้นนางปริกก็หายตัวไปไม่กลับบ้านอีก สงสัยว่านายบุญเพ็งนี้เองจะเป็นผู้ฆ่าชิงสร้อยข้อมือนางปริกซึ่งมีความหนัก ถึงข้างละ ๑๐ บาทไป
ตำรวจออกล่าตัวนายบุญเพ็งทันที ขณะนั้นนายบุญเพ็งพึ่งสึกแล้วมาแต่งงานกับนางสาวตาก ตำรวจได้จับกุมนายบุญเพ็งได้ที่บ้านนางบัว ตำบลถนนตรีทอง ซึ่งนายบุญเพ็งเพิ่งแต่งงานกับนางตาดลูกสาวของนางบัวในวันที่ ๑๔ มกราคมวันเดียวกับที่หนังสือพิมพ์ลงประกาศเรื่องพบศพนางปริกนายบุญเพ็งกับ นางปริกนั้นมีความสัมพันธ์กันอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ครั้งนายบุญเพ็งบวชอยู่ที่ วัดสุทัศน์ ปรากฎว่าความคืบหน้าของคดีนางปริกได้โยงไปถึงคดีนายล้อมศพที่พบอยู่ในหีบจม น้ำ ผู้ต้องหามีคนเดียวคือนายบุญเพ็ง ซึ่งรับสารภาพว่าได้ล่อลวงนายล้อมและนางปริกไปปลิดชีพเพื่อชิงทรัพย์มาเป็น ทุนแต่งงานกับนางตาด ละม่อมในข้อหา ฆ่าคนตายอย่างเหี้ยมโหด
และแล้วนายบุญเพ็งก็ต้องถูกจับไปไต่ส่วน
สิ่ง ที่เข้าใจผิดอย่างมาก ที่หลายๆ คนเข้าใจบุญเพ็งผิด คือเหยื่อทั้งหมดที่เขาฆ่านั้นเขาไม่ได้ลงมือฆ่าคนเดียว หากแต่ละคดีบุญเพ็งจะร่วมมือกับเพื่อนเพื่อฆ่าเหยื่อและช่วยกันเอาหีบถ่วง น้ำ
คดีฆ่านายล้อม บุญเพ็งได้ร่วมมือกับนายพัน อายุ ๑๙ ปี ที่เข้าไปมั่วสุมเล่นโปกำโปปั่นในกุฏิพระภิกษุบุญเพ็งและพวกได้ฆ่านายล้อม ร่วมกันนำหีบมาใส่ศพและใส่รถเจ๊กจากวัดสุทัศน์เพื่อไปถ่วงน้ำ เรียกได้ว่าฆ่ากันในวัดสุทัศน์เลย
คดีฆ่านางสาวปริก บุญเพ็งร่วมมือกับพระเจริญ นายจรัญ รวมเป็นสามคน ฆ่านางปริกแล้วช่วยกันเอาหีบศพถ่วงน้ำ
เมื่อ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ศาลพระราชอาญา ได้พิจารณาคดี กับบุญเพ็งและจำเลยในข้อหาฆ่านายล้อมและนางปริกตาย บุญเพ็งให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าเขาไม่รู้จักนายล้อมมาก่อน และนายล้อมไม่ได้ไปกุฏีเลย
บุญเพ็งถูกตัดสิน โดยการประหารชีวิต เป็นการลงโทษที่หนักที่สุด ซึ่งในช่วงประหารชีวิตนั้นได้มีผู้คนมากมายมาดูการประหารชีวิต แต่ว่าไม่มีญาติของบุญเพ็งเลยสักคน แม้กระทั่งเจ้าสาวซึ่งยังไม่ทัน จะส่งตัวเข้าห้องหอ ก็ไม่มา
คดีซ้อนคดีนี้สิ้นสุดลงในวัน อังคารที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๖๒ ศาลพระราชอาญาตัดสินให้ประหารชีวิตนายบุญเพ็ง ในวันที่๑๙ สิงหาคม ๒๔๖๒ นายบุญเพ็งถูกตัดหัวประหารชีวิตที่ลานประหารวัดภาษี มี เรื่องเล่าลื่อกันว่า ในช่วงประหารชีวิตบุญเพ็งนั้นเอง เพชรฆาต รำดาบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ลงดาบอันคบกริบลงบนคอ แทนที่คอจะ ขาดเลือดพุ่งกระฉูด กลับกลายเป็นว่า คมดาบนั้นไม่ได้ระคายเคืองผิวเลย จนเพชรฆาตรพูดว่า "...มีอะไรดี ให้เอาออกเสียเถอะ" หลังจากนั้นเพชรฆาต ก็เอาพระเขวี้ยงทิ้งไปในกอไผ่
ตัดคอครั้งแรกไม่ระคายผิว
คราว นี้รำดาบใหม่ ดาบหน้ารำจนบุญเพ็งเคลิ้มเผลอ ทันใดนั้นดาบหลังฟันดัง ฉับ!!!! คราวนี้ คอขาด หัวกระเด็น จนเลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มาดูต่างร้องวีดว้ายระงม
เพราะ................ว่าๆ กันว่า ขณะที่ศีรษะถูกคมดาบของเพชรฆาตฟันฉับนั้น ในช่วงวินาทีสั้นๆ ชาวบ้านหลายคนได้เห็นมุมปากของบุญเพ็ง ขมุบขมิบเหมือนท่องคาถาอะไรสักอย่าง ………
ศพของบุญเพ็ง หีบเหล็ก ถูกนำไปฝังไว้ในป่าช้านั้นเอง จนภายหลังญาติมาจัดการเผาศพตามพิธี และกล่าวกันว่า รอยสักช่วงแผ่นหลัง ของเขา เผาไฟไม่ไหม้ ญาติเก็บกระดูกใส่เจดีย์ไว้ข้างอุโบสถ์วัด จนช่วงหลังเจดีย์ถูกรื้อออก ทางวัดภาษี จึงได้ให้ช่างปั้นรูปปั้นจำลอง ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ ตั้งไว้ในศาลเล็ก ๆ ติดกับวิหาร ซึ่งเป็นอนุสรณ์ว่า เขาเป็นนักโทษประหารคนสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิ.ย.๒๔๗๕ ศาลลุงบุญเพ็ง หีบเหล็ก ได้มีคนไปกราบไหว้บูชา เสี่ยงโชคลาง และเข้าใจว่าวิญญาณของเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิด จนถึงทุกวันนี้เพื่อไถ่บาปอีกนับร้อยนับพันปี
บุญเพ็งเป็น นักโทษประหารชีวิตคนสุดท้าย ที่ถูกประหารโดยการตัดคอ เมื่อวันที่ ๙สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ ศพฝั่งอยู่ที่ป่าช้า และทำพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดภาษี เขตวัฒนา ปัจจุบัน ศาลงบุญเพ็ง หีบเหล็ก ตั้งอยู่ที่ วัดภาษี ซอยเอกมัย๒๓ แขวงคลองตันเหนือ กรุงเทพฯ
เพชรฆาตเล่นทีเผลอ
คอขาดกระเด็น

หีบที่ใช้บรรจุศพนำไปถ่วงน้ำ
ศาลลุงบุญเพ็ง ั้งอยู่ที่ วัดภาษี ซอยเอกมัย 23 แขวงคลองตันเหนือ กรุงเทพฯ
หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ช่วงนั้นได้มีการประหารนักโทษสำคัญท่านหนึ่ง ซึ่งที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นว่า "บุญเพ็ง" ซึ่งก่อคดีฆ่าคน ตายหลายชีวิต และศพที่ "บุญเพ็ง" ฆ่านั้นก็ได้นำมาใส่หีบเหล็ก แล้วโยนทิ้งน้ำทุกครั้ง
ประวัติ ชีวิตของบุญเพ็งที่ถูกต้องคือบุญเพ็งเกิดเมื่อปีขาล ที่ท่าอุเทน มณฑลอุดร บิดาเป็นชาวจีน มารดาเป็น “ลาว”(ในสมัยนั้นคนภาคกลางยังเรียกคนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่าพวกลาว) มาอยู่กรุงเทพตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ
เดิม"บุญเพ็ง" เป็นชายหนุ่มรูปงามนักเป็นที่เลื่องลือ และกล่าวขาน เขากำพร้าพ่อแม่แต่เล็ก อยู่กับตายาย ชื่อตาสุก และยายเพียร ซึ่งเฝ้าเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมมา
นอก จากเขาจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น เขายังมีกิริยานอบน้อม เจรจาพาทีไพเราะ จนสาว ๆ ทั้งหลายทอดสายตาให้ วิชาที่บุญเพ็งเรียนมา เป็นวิชาที่ไม่ให้คุณใคร และตาสุก ยายเพียรตระหนักดี แกคอยห้ามปราม ต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากบุญเพ็งเท่าที่ควร
หนุ่ม บุญเพ็ง ไม่เอาไหน งานการไม่อยากทำ โดยปล่อยให้ตายาย ไปทำนาตามประสา ส่วนตัวเองกลับสนใจวิชาทางด้านไสยศาสตร์เวทมนต์และ ได้ไปขอเรียนวิชาอาคม กับ ตาไปล่ สัปเหร่อวัดไผ่เคาะ ผู้มีวิชาดี ทาง กำจัดภูตผี ปีศาจ และทำเสน่ห์ยาแฝด และหมอดู บุญเพ็งเรียนจบครบหลักสูตรวิชาไสยศาสตร์
ต่อ มาเขาได้เติบโตเป็นหนุ่ม ถูกตายายดุด่า ห้ามปรามไม่ให้เล่นวิชาไสยศาสตร์ เขาจึงทนไม่ไหว และมุ่งหน้าเข้าสู่บางลำภู ที่บางกอก (กรุงเทพฯ) มาตั้งสำนักหมอผี อยู่ในสวน ใกล้คลองบางลำภู เปิดสำนักดูหมอสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิต รับทำเมตตามหานิยม เสน่ห์ยาแฝด และไสยศาสตร์ ซึ่งขณะนั้นมีคนมาหาแวะเวียนมากมาย

เมื่อ อายุ ๒๐ ปี ได้บวชเป็นภิกษุที่วัดเทวราชกุญชรแต่ประพฤติตนไม่ดีจึงถูกขับไล่ออกจากวัด และมาขอจำพรรษาที่วัดสุทัศน์เทพวราราม ซึ่งในตอนแรกเจ้าอาวาสไม่ยอม แต่บุญเพ็งสัญญาว่าจะประพฤติดี เจ้าอาวาสจึงยอม เป็นเวลาเก้าปีที่บุญเพ็งเป็นพระในพุทธศาสนา ตลอดระยะเวลาที่ครองผ้าเหลือง พระบุญเพ็งเป็นพระที่ปฏิบัติแต่กิจไม่พึงควร ล่วงอาบัติหลายประการ อาทิ ดื่มสุรา และเล่นการพนัน ก่อการไม่สงบร่วมกับพรรคพวกในวัด และได้ถูกจับสึกในที่สุด แต่ก่อนสึกนั้น พ.ศ.๒๔๖๑-๒๔๖๒ กลางสมัยรัชการที่ ๖ บุญเพ็งได้ก่อคดีฆ่าคนโดยการยัดศพใส่หีบเหล็กถ่วงน้ำ ๒ ศพ (เพียงสองศพเท่านั้น) คือนายล้อมและนางปริก โดยทั้งหมดฆ่าเพียงชิงทรัพย์เพื่อเอาเงินไปซื้อสุรามาดื่มกินและไปเล่นพนัน ในวัด ซึ่งถือว่าเป็นพระภิกษุที่ประพฤติชั่ว ไม่สมควรจะอยู่ในร่มเงาของศาสนา
หีบที่ใส่เหยื่อราย แรกลอยตามน้ำและปรากฏขึ้นเมื่อปลาย พ.ศ.๒๔๖๐ พบโดยชาวบ้านที่หากินด้วยการงมกุ้งตามแม่น้ำลำคลอง ได้พบหีบใบหนึ่งจมอยู่ก้นคลองบางกอกน้อย
เมื่อเปิดหีบออกมา ดูก็พบศพชายคนหนึ่งบรรจุอยู่ในนั้น ทราบภายหลังว่าเป็นนายล้อม พ่อค้าเพชรพลอย จากการสืบสวนพบว่าของมีค่าติดตัวได้หายไป จึงทราบว่านี้เป็นการฆ่าชิงทรัพย์
ต่อมาไม่นาน เวลาโพล้เพล้ของวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๑ ชาวบ้านย่านวัดไทรม้า จังหวัดนนทบุรีผู้หนึ่ง ก็พบหีบเหล็กใบหนึ่งลอยอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัด
เมื่อ ช่วยกันกับชาวบ้านอีกคนชักลากหีบขึ้นมาเปิด ผู้คนที่มาดูต่างตะลึง...ในนั้นมีศพผู้หญิงถุกมัดมือมัดเท้านั่งยองๆ ยัดใส่อยู่ในหีบใบนั้นพร้อมมุ้งคลุมศพ และก้อนอิฐถ่วงหีบศพอีก ๘ ก้อน
อำมาตย์ เอกพระยานนทบุรี นครบาลจังหวัดนนทบุรี เริ่มสืบหาผู้ปกครองของหญิงเคราะห์ร้ายทันที โดยแจ้งลงในหนังสือพิมพ์ “กรุงเทพฯ เดลิเมล์” ประจำวันอังคารที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๑ และเพียงวันเดียวคดีหีบลอยน้ำก็คลี่คลายไขปริศนาอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าเป็นศพของนางปริก ภรรยาขุนสิทธิคดี(ปลั่ง) เป็นคนรวย มีทรัพย์สินมากคนหนึ่ง เช่าห้องอยู่ตึกแถวถนนบกทหารเรือ(ย่านที่ขายมุ้งหมอนข้างถนนพาหุรัด)
มารดา ของผู้ตาย เข้าแจ้งกับตำรวจว่า นางปริกลูกสาว แต่งตัวไปงานสวยจิตรรลดาตั้งแต่วันที่ ๗ มกราคม โดยก่อนออกจากบ้านวันนั้นเธอได้รับจดหมายจากนายบุฯเพ็ง(ซึ่งมีความผูกพันใน สมัยบุญเพ็งยังบวชอยู่) ให้ไปรับสร้อยที่นาบบุญเพ็งยืมไป แล้วจากนั้นนางปริกก็หายตัวไปไม่กลับบ้านอีก สงสัยว่านายบุญเพ็งนี้เองจะเป็นผู้ฆ่าชิงสร้อยข้อมือนางปริกซึ่งมีความหนัก ถึงข้างละ ๑๐ บาทไป
ตำรวจออกล่าตัวนายบุญเพ็งทันที ขณะนั้นนายบุญเพ็งพึ่งสึกแล้วมาแต่งงานกับนางสาวตาก ตำรวจได้จับกุมนายบุญเพ็งได้ที่บ้านนางบัว ตำบลถนนตรีทอง ซึ่งนายบุญเพ็งเพิ่งแต่งงานกับนางตาดลูกสาวของนางบัวในวันที่ ๑๔ มกราคมวันเดียวกับที่หนังสือพิมพ์ลงประกาศเรื่องพบศพนางปริกนายบุญเพ็งกับ นางปริกนั้นมีความสัมพันธ์กันอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ครั้งนายบุญเพ็งบวชอยู่ที่ วัดสุทัศน์ ปรากฎว่าความคืบหน้าของคดีนางปริกได้โยงไปถึงคดีนายล้อมศพที่พบอยู่ในหีบจม น้ำ ผู้ต้องหามีคนเดียวคือนายบุญเพ็ง ซึ่งรับสารภาพว่าได้ล่อลวงนายล้อมและนางปริกไปปลิดชีพเพื่อชิงทรัพย์มาเป็น ทุนแต่งงานกับนางตาด ละม่อมในข้อหา ฆ่าคนตายอย่างเหี้ยมโหด
และแล้วนายบุญเพ็งก็ต้องถูกจับไปไต่ส่วน
สิ่ง ที่เข้าใจผิดอย่างมาก ที่หลายๆ คนเข้าใจบุญเพ็งผิด คือเหยื่อทั้งหมดที่เขาฆ่านั้นเขาไม่ได้ลงมือฆ่าคนเดียว หากแต่ละคดีบุญเพ็งจะร่วมมือกับเพื่อนเพื่อฆ่าเหยื่อและช่วยกันเอาหีบถ่วง น้ำ
คดีฆ่านายล้อม บุญเพ็งได้ร่วมมือกับนายพัน อายุ ๑๙ ปี ที่เข้าไปมั่วสุมเล่นโปกำโปปั่นในกุฏิพระภิกษุบุญเพ็งและพวกได้ฆ่านายล้อม ร่วมกันนำหีบมาใส่ศพและใส่รถเจ๊กจากวัดสุทัศน์เพื่อไปถ่วงน้ำ เรียกได้ว่าฆ่ากันในวัดสุทัศน์เลย
คดีฆ่านางสาวปริก บุญเพ็งร่วมมือกับพระเจริญ นายจรัญ รวมเป็นสามคน ฆ่านางปริกแล้วช่วยกันเอาหีบศพถ่วงน้ำ
เมื่อ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ศาลพระราชอาญา ได้พิจารณาคดี กับบุญเพ็งและจำเลยในข้อหาฆ่านายล้อมและนางปริกตาย บุญเพ็งให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าเขาไม่รู้จักนายล้อมมาก่อน และนายล้อมไม่ได้ไปกุฏีเลย
บุญเพ็งถูกตัดสิน โดยการประหารชีวิต เป็นการลงโทษที่หนักที่สุด ซึ่งในช่วงประหารชีวิตนั้นได้มีผู้คนมากมายมาดูการประหารชีวิต แต่ว่าไม่มีญาติของบุญเพ็งเลยสักคน แม้กระทั่งเจ้าสาวซึ่งยังไม่ทัน จะส่งตัวเข้าห้องหอ ก็ไม่มา
คดีซ้อนคดีนี้สิ้นสุดลงในวัน อังคารที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๖๒ ศาลพระราชอาญาตัดสินให้ประหารชีวิตนายบุญเพ็ง ในวันที่๑๙ สิงหาคม ๒๔๖๒ นายบุญเพ็งถูกตัดหัวประหารชีวิตที่ลานประหารวัดภาษี มี เรื่องเล่าลื่อกันว่า ในช่วงประหารชีวิตบุญเพ็งนั้นเอง เพชรฆาต รำดาบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ลงดาบอันคบกริบลงบนคอ แทนที่คอจะ ขาดเลือดพุ่งกระฉูด กลับกลายเป็นว่า คมดาบนั้นไม่ได้ระคายเคืองผิวเลย จนเพชรฆาตรพูดว่า "...มีอะไรดี ให้เอาออกเสียเถอะ" หลังจากนั้นเพชรฆาต ก็เอาพระเขวี้ยงทิ้งไปในกอไผ่

คราว นี้รำดาบใหม่ ดาบหน้ารำจนบุญเพ็งเคลิ้มเผลอ ทันใดนั้นดาบหลังฟันดัง ฉับ!!!! คราวนี้ คอขาด หัวกระเด็น จนเลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มาดูต่างร้องวีดว้ายระงม
เพราะ................ว่าๆ กันว่า ขณะที่ศีรษะถูกคมดาบของเพชรฆาตฟันฉับนั้น ในช่วงวินาทีสั้นๆ ชาวบ้านหลายคนได้เห็นมุมปากของบุญเพ็ง ขมุบขมิบเหมือนท่องคาถาอะไรสักอย่าง ………
ศพของบุญเพ็ง หีบเหล็ก ถูกนำไปฝังไว้ในป่าช้านั้นเอง จนภายหลังญาติมาจัดการเผาศพตามพิธี และกล่าวกันว่า รอยสักช่วงแผ่นหลัง ของเขา เผาไฟไม่ไหม้ ญาติเก็บกระดูกใส่เจดีย์ไว้ข้างอุโบสถ์วัด จนช่วงหลังเจดีย์ถูกรื้อออก ทางวัดภาษี จึงได้ให้ช่างปั้นรูปปั้นจำลอง ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ ตั้งไว้ในศาลเล็ก ๆ ติดกับวิหาร ซึ่งเป็นอนุสรณ์ว่า เขาเป็นนักโทษประหารคนสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิ.ย.๒๔๗๕ ศาลลุงบุญเพ็ง หีบเหล็ก ได้มีคนไปกราบไหว้บูชา เสี่ยงโชคลาง และเข้าใจว่าวิญญาณของเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิด จนถึงทุกวันนี้เพื่อไถ่บาปอีกนับร้อยนับพันปี
บุญเพ็งเป็น นักโทษประหารชีวิตคนสุดท้าย ที่ถูกประหารโดยการตัดคอ เมื่อวันที่ ๙สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ ศพฝั่งอยู่ที่ป่าช้า และทำพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดภาษี เขตวัฒนา ปัจจุบัน ศาลงบุญเพ็ง หีบเหล็ก ตั้งอยู่ที่ วัดภาษี ซอยเอกมัย๒๓ แขวงคลองตันเหนือ กรุงเทพฯ



หีบที่ใช้บรรจุศพนำไปถ่วงน้ำ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น