เราทุกวันนี้ ต่างมอง และให้ความสำคัญกับสิ่งภายนอก มากกว่าจะให้ความสำคัญในคุณค่าที่ตนเองมี
ตั้งแต่เริ่มลืมตาตื่นขึ้นมาตอนไหน สัมผัสแรก หรือ ผัสสะแรกที่รับรู้คือ ความสุขใจ ความไม่ไม่สบายใจ หรือไร้อารมณ์ใดๆ กับความเคยชินที่มีมากเสียจน ลบเลือนสติ สัมปชัญญะที่ควรจะมี
ต่างเพ่งโทษต่อผู้ที่เราไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ด้วยมุมมองที่ยึดอุปาทานที่ก่อกำเนิดมาจากผัสสะ แล้วบันทึกจดจำในสัญญา ว่านั่นคือสิ่งที่เราถูกใจ ว่านั่นคือสิ่งที่เราไม่ถูกใจ ที่เรียกว่า เวทนา เพราะเวทนาตัวนี้เองจึงเกิดความทะยานอยาก ถูกใจ ก็อยากเห็น อยากได้มาครอบครอง ไม่ถูกใจ ก็ไม่อยากเห็น ไม่อยากเข้าใกล้ ตั้งข้อรังเกลียด สิ่งเหล่านี้คือ ตัณหา อันเป็นผลพวงของเวทนา 3 ที่ประกอบด้วย สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุขมเวทนา
เมื่อตัณหาคือความอยาก ความดิ้นรน ที่จะครอบครอง หรือพยายามที่จะผลักดันออกไปเมื่อไม่สบอารมณ์ หรือ การแสดงอาการประหนึ่งไม่ยินดียินร้ายใดๆ ย่อมแปรเปลี่ยนเป็นอุปาทาน คือการยึดครอง แบ่งฝักฝ่าย ว่านี่ของเรา นี่ของเขา ความทุกข์ไม่ได้ก่อตัวที่ตรงนี้ หากเกิดจากผัสสะ คือปราการด่านแรก ที่ยอมให้เข้ามาสู่ใจของเรา ยอมให้ใจเกิดอาการซาบซ่าน หรือ ร้อนรน กระตุ้นให้จิตใจเร่าร้อนไปกับความต้องการ ความอยาก ไม่มีการยับยั่งชั่งใจในอาการใดๆที่ปรากฏในใจ จึงเกิดความทุกข์เพิ่มขึ้นทีละขณะ ๆ จน ต้องแสดงออกมาทางกาย ทางวาจา ต่อสิ่งที่มาสัมผัสเมื่อแรกเห็น
ลองหยุดพินิจพิจารณา กันสักนิด ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดกับเราเป็นครั้งแรก หากแต่เกิดมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาเป็นระยะเวลานาน แล้วทำไมจึงไม่เข็ดหลาบจำ เพราะความหลงลืม ไม่คำนึงว่า ทุกสิ่งไม่จีรังยั่งยืน แต่เรากลับมองหาความยั่งยืนของสิ่งที่เราปรารถนา .....
ตั้งแต่เริ่มลืมตาตื่นขึ้นมาตอนไหน สัมผัสแรก หรือ ผัสสะแรกที่รับรู้คือ ความสุขใจ ความไม่ไม่สบายใจ หรือไร้อารมณ์ใดๆ กับความเคยชินที่มีมากเสียจน ลบเลือนสติ สัมปชัญญะที่ควรจะมี
ต่างเพ่งโทษต่อผู้ที่เราไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ด้วยมุมมองที่ยึดอุปาทานที่ก่อกำเนิดมาจากผัสสะ แล้วบันทึกจดจำในสัญญา ว่านั่นคือสิ่งที่เราถูกใจ ว่านั่นคือสิ่งที่เราไม่ถูกใจ ที่เรียกว่า เวทนา เพราะเวทนาตัวนี้เองจึงเกิดความทะยานอยาก ถูกใจ ก็อยากเห็น อยากได้มาครอบครอง ไม่ถูกใจ ก็ไม่อยากเห็น ไม่อยากเข้าใกล้ ตั้งข้อรังเกลียด สิ่งเหล่านี้คือ ตัณหา อันเป็นผลพวงของเวทนา 3 ที่ประกอบด้วย สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุขมเวทนา
เมื่อตัณหาคือความอยาก ความดิ้นรน ที่จะครอบครอง หรือพยายามที่จะผลักดันออกไปเมื่อไม่สบอารมณ์ หรือ การแสดงอาการประหนึ่งไม่ยินดียินร้ายใดๆ ย่อมแปรเปลี่ยนเป็นอุปาทาน คือการยึดครอง แบ่งฝักฝ่าย ว่านี่ของเรา นี่ของเขา ความทุกข์ไม่ได้ก่อตัวที่ตรงนี้ หากเกิดจากผัสสะ คือปราการด่านแรก ที่ยอมให้เข้ามาสู่ใจของเรา ยอมให้ใจเกิดอาการซาบซ่าน หรือ ร้อนรน กระตุ้นให้จิตใจเร่าร้อนไปกับความต้องการ ความอยาก ไม่มีการยับยั่งชั่งใจในอาการใดๆที่ปรากฏในใจ จึงเกิดความทุกข์เพิ่มขึ้นทีละขณะ ๆ จน ต้องแสดงออกมาทางกาย ทางวาจา ต่อสิ่งที่มาสัมผัสเมื่อแรกเห็น
ลองหยุดพินิจพิจารณา กันสักนิด ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดกับเราเป็นครั้งแรก หากแต่เกิดมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาเป็นระยะเวลานาน แล้วทำไมจึงไม่เข็ดหลาบจำ เพราะความหลงลืม ไม่คำนึงว่า ทุกสิ่งไม่จีรังยั่งยืน แต่เรากลับมองหาความยั่งยืนของสิ่งที่เราปรารถนา .....
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น