บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2014

สังวาสสูตรที่ ๒

สังวาสสูตรที่ ๒              [๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอยู่ร่วม ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี ๑ ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ๑ ชายเทวดาอยู่ร่วม กับหญิงผี ๑ ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายผีอยู่ ร่วมกับหญิงผีอย่างไร สามีในโลกนี้เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดใน กาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มีความละโมบ มีจิต พยาบาท มีความเห็นผิด เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม มีใจอันมลทิน คือความ ตระหนี่ครอบงำ ด่าและบริภาษสมณพราหมณ์ อยู่ครองเรือน แม้ภรรยาของเขา ก็เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายผีอยู่ร่วมกับ หญิงผีอย่างนี้แล ฯ              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร สามีในโลกนี้ เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ อยู่ครองเรือน ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้งดเว้นจากการ ฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการ พูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ ไ...

ธรรมะคือโอสถทิพย์

เป็นเช้าที่ตื่นมาเห็นการเกิดดับได้ดีอีกวันหนึ่ง จิตหลงไปยินดี ในกาย แล้วมาเศร้าหมองกับกาย ที่เปลี่ยนแปลง เป็นการเกิดดับของอารมณ์จริงๆ ที่ปรากฏ ทุกข์กายเป็นเรื่องปกติ แต่ทุกข์ใจไปกับกายเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย เมื่อจิตไหลไปห่วงกาย ก็แสดงว่ามีเราอยู่ แทนที่จะกำหนดในเวทนา ที่ปรากฏ กับไปยึด ว่าเราเจ็บ เราปวด ไปซะงั้น ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ หากท่านใดเข้ามาอ่านแล้วเกิดอาการ งง งง ก็น่าจะ งง อยู่ เพราะสิ่งที่โพสต์ เป็นสภาวะธรรมที่เกิดกับจิตดับพร้อมกับจิต ของผมเอง หรือถ้าจะเทียบแบบกางตำรา ก็คือการกำหนดแบบ ปฏิจสมุปบาท สายเกิด - สายดับ แต่ถ้ายัง งง งง อยู่ก็ ....รู้ไปก็เท่านั้น เมื่อเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยที่กาย หากใจเราเป็นกังวลกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ในปุถุชนที่ไม่ได้สดับ ก็จะเป็นทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจกับเหตุนั้นๆ ก็เป็นเรื่องที่ธรรมดาของโลก ส่วนปุถุชนผู้สดับ กลับมองเป็นการเกิดดับ เป็นอนิจจลักษณะ คือ เป็นเครื่องรู้ ว่าขันธ์ห้านั้นเป็นทุกข์ ก็เลยไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร กลับมอง อย่างปรมัตถ์ คือรู้ ตามความเป็นจริงที่ปรากฏ ที่มีอยู่ และมันเป็นจริง คือ เกิดขึ้นก็จริง ดับไปก็จริง ก็แค...

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค

รูปภาพ
พาหิรอนัตตสูตร              [๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่าน ทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตาม ความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ... ฯ   เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ บรรทัดที่ ๖๒ - ๖๘. หน้าที่ ๓ - ๔. ปางปฐมเทศนา วัดกลางวังเย็น อำเภอบางแพ จังหวัด ราชบุรี อตีตานาคตปัจจุปันนานิจจสูตร              [๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุที่เป็นอดีตและอนาคต เป็นของไม่เที่ยง จะกล่าวไปไยถึงจักษุอันเป็นปัจจุบันเล่า อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่มีเยื่อใยในจักษุที่เป็นอดีต ไม่เพลิดเพลินจักษุที่เป็นอนาคต ย่อมปฏิบัติ เพื่อเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับซึ่งจักษุที่เป็นปัจจุบั...

กายคตา กับ ชีวิตประจำวัน

รูปภาพ
กายคตา กับ ชีวิตประจำวัน  เมื่อใดที่ขยับ เคลื่อนไหว ส่วนใด ส่วนหนึ่งของร่างกาย มีความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว มีความรู้สึกที่ใจรับรู้ ถึงอาการเคลื่อนไหว เพียงแค่รู้สึกเท่านั้นพอ ไม่ต้องกำหนด จรดจ้อง จนกลายเป็นเพ่ง  ความรู้สึกแบบนี้ เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งแล้วดับสลายไป เกิดจากเกิดดับของจิตที่เข้าไปรับรู้ ที่กายเคลื่อนไหว เมื่อเข้าใจ หรือ เห็น จิตที่รับรู้ สิ่งที่มันปรากฏ ก็ไม่มีเรา อยู่ในนั้น มีเพียง สภาวะธรรม ที่เกิด ดับ เกิด ดับ ส่งต่ออารมณ์ต่อกันไปเรื่อยๆ เพ่งเมื่อไหร่ จะกลายเป็นความคิด เมื่อนั้น เอวัง ก็มีด้วยประการ ฉะนี้ สิ่งที่ปรากฏในขณะที่ใจเข้าไปรับรู้ กับสิ่งที่เข้าไปรู้ ที่ใจรู้อีกทีหนึ่ง ก็แค่รู้สึก สักแต่ว่า เท่านั้น ไม่มีเราเข้าไปเกี่ยวข้อง สิ่งที่เข้าไปรู้เป็นเพียงอารมณ์ของจิตอย่างหนึ่งที่แสดงออกมา ไม่มีศัพย์แสงอะไรที่ต้องไปรู้ว่าเรียกว่าอะไร เกิดแล้ว ก็ดับไป สลายไป อย่ามัวไปจรดจ้อง หาคำเรียก มันจะกลายเป็น สมมุติ ขึ้นมาทันที เพราะอาศัยความนึกคิด จึงมีรากศัพย์มากมายให้เรียกกัน เพียงแค่รู้ รู้แล้วก็จบ หมดกันไป ไม่มีอะไร ไม่ว่าอะไร ผ่านแล้วก็ผ่านไป...

กำแพงที่มันหายไป

รูปภาพ
เราครอบงำความคิดว่ามีเรา เราจึงสร้างกำแพงขึ้นมาในใจ เราเรียกมันว่า ตัวฉันนั่นไง สิ่งใดที่ชอบใจ ฉันชอบ ก็ไขว่คว้าเข้ามา สิ่งใดที่ไม่ชอบ ฉันเกลียด ก็ผลักไสออกไป สิ่งใดที่สูญเสีย ฉันอยากได้คืน มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมั๊ย ที่เคยเป็นของฉัน ตั้งแต่ฉันเกิดมาลืมตามองโลกใบนี้ แล้วยังอยู่ที่เดิม กับวันเวลาเดิมๆ มีบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่มี แล้วเราจะยึดอะไรที่มันไม่มีอยู่จริงทำไม เราจะพบตนตัวของสรรพสิ่งที่อยู่รอบๆก็มลายหายไป เหลือไว้แต่ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปร ใดๆในโลกนี้ล้วนอนิจจัง ไม่มีอะไรที่มีจริงบนโลกใบนี้ แม้แต่ตัวของเราเอง Thewall กำแพงที่มันหายไป 6/12/2557

๙. นิพพิทาสูตร

รูปภาพ
                               [๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ และเพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ  ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่งามในกาย ๑ มีความสำคัญว่าเป็นของปฏิกูลในอาหาร ๑  มีความสำคัญว่าไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง ๑  พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง ๑  ย่อมเข้าไปตั้งมรณสัญญาไว้ในภายใน ๑  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้ มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อ เข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ฯ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ บรรทัดที่ ๑๙๓๒ - ๑๙๔๒. หน้าที่ ๘๔.

๗. ฐานสูตร

รูปภาพ
                                พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต  [๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้ อันสตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ๕ ประการเป็นไฉน คือ สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความแก่ไปได้ ๑ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ๑ เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ๑ เราจะต้องพลัดพรากจาก ของรักของชอบใจทั้งสิ้น ๑ เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรม เป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่ว ก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ๑ ฯ              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น ความแก่ไปได้ ดูกรภิกษุทั้...

ว่าด้วยบุพจริยาของพระสีวลีเถระ

รูปภาพ
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระ ผู้มีจักษุ                           ในธรรมทั้งปวง เป็นผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ศีลของพระองค์                           ใครๆ ก็คำนวณไม่ได้ สมาธิของพระองค์เปรียบด้วยแก้ววิเชียร                           ฌานอันประเสริฐของพระองค์ใครๆ ก็นับไม่ได้ และวิมุติของ                           พระองค์หาอะไรเปรียบมิได้ พระนายกเจ้าทรงแสดงธรรมในสมาคม               ...

การเผชิญความตายเมื่อยังไม่ตาย

รูปภาพ
     การเผชิญความตายเมื่อยังไม่ตาย                                                             บางครั้งในช่วงหนึ่งเราอาจจะรับเชิญให้ไปร่วมแสดงความอาลัย ของใครคนหนึ่งที่เรารู้จักมักคุ้นกัน หรือ ไม่เคยได้รู้จักกันเลยด้วยซ้ำไป หรือ อาจจะได้รับรู้ผ่านสื่อทางใดทางหนึ่ง บ่งบอกถึงความโศกเศร้า ความอาลัยรัก รวมไปถึง ความสะใจ พอใจ ของใครบางคน ทั้งนี้ทั้งนั้น จะด้วยเหตุผลกลใด จะต้องการ หรือ ไม่ต้องการ จะยินดี หรือ ไม่ยินดี ทุกชีวิตย่อมมาบรรจบกันตรงนี้ หลายชีวิต อาจจะมีญาติมิตรมาร่วมไว้อาลัย และอีกหลายชีวิตไม่อาจจะรับรู้ของการจากไป หรือที่เรียกว่า ตายอย่างโดดเดี่ยว บ้างต้องทรมานก่อนตาย บ้างก็นอนตายอย่างสงบ ตายโดยธรรมชาติ ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ตายด้วยอุบัติเหตุ จงใจทำให้ตนเองตาย จงใจล้างผลาญชีวิตผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นตายโดยหน้าที่ ทำให้ตายโดยไม่เจตนา ตายด้วยความหลงผิด ตายเพราะสิ้นอาสวะ               ...

ทำไมถึงไม่บวชล่ะ รู้มากขนาดนี้

รูปภาพ
                   จำเป็นมากหรือ ที่รู้พระธรรม ศึกษาธรรมแล้วต้องบวช บางท่านรู้ได้โดยการฟัง บางท่านรู้ได้โดยการอ่าน บางท่านรู้ได้โดยการปฏิบัติ ตามแนวทางมหาสติปัฏฐานสี่ ประกอบด้วย            กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เรียกโดยย่อว่า     กาย            เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เรียกโดยย่อว่า   เวทนา            จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน  เรียกโดยย่อว่า   จิต            ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน  เรียกโดยย่อว่า    ธรรม อะไรคือ กาย หรือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน                    สิ่งที่เรียกว่ากาย คือ ร่างกายที่เราท่านจับต้องได้ เคลื่อนไหวได้ คือ กายนอก ส่วนกายในกาย ก็คือ สิ่งที่เกี่ยวกับกายนอก หากขาดสิ่งนี้ เราท่านก็ไม่อาจดำรงชีพอยู่ได้ก็คือ ลมหายใจ เช่นเดียวกับกายนอก คือ จับต้องได้ หรือ สัมผัสได้ เคลื่อนไหวได้ สิ่งใดที่เรียกว่าจับต้องได้ ห...

การเรียนอภิธรรม

รูปภาพ
                 การเรียนอภิธรรม เพื่อให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร  อย่างไร ทำไมถึงสอน กับใคร ที่ไหน เพื่ออะไร แล้วเราจะได้อะไรในการเรียนอภิธรรม หลายคนเรียนเพื่ออยากรู้ หลายคนเรียนเพื่อมาอวดว่าฉันก็มีความรู้ไม่แพ้คนอื่นเหมือนกัน เหมือนกันศึกษาเส้นทาง หรือ แผนที่ก่อนออกเดินทาง เมื่อเรียนมาแล้วก็ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์อะไรกับการปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ เพราะติดตัวรู้ อ๋อนั่นทำไปก็จะเป็นอย่างนี้อย่างนี้ อ๋อ เมื่อเป็นอย่างนี้ต่อไปก็จะเป็นอย่างนั้นๆ กลับหาทางที่จะเดินต่อไม่ได้ เพราะรู้มากเกินไป ผิดกับคนที่เขามาปฏิบัติกันก่อนแล้วมาหาคำตอบที่หลัง อ๋อ ที่เราทำแบบนี้เรารู้ แบบนี้ เขาเรียกว่าอย่างนั้น อย่างนั้น อ๋อ ที่เราทำมาไม่ใช่แนวทางที่ถูก มิน่าเราถึงไม่ก้าวหน้า เห็นทีเราต้องลองทำตามตำราดู เมื่อลองทำตามตำรา ก็จะเกิดความรู้ใหม่ว่า เอ ทำไมจึงไม่เหมือนอย่างในตำรา เอ เราทำแล้วรู้สึกปลอดโปร่งไม่ติดขัด  แล้วในตำราอาจจะมีหมายเหตุกำหนดไว้ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นปัจจัตตัง อ๋อ รู้ได้เฉพาะตน ไม่ได้รู้โดยการชี้นำของตำรา ไม่ได้รู้โดยการฟังมาจากใ...

เรากำลังเสพติดบุญกันอยู่หรือ

       จะกล่าวไปแล้ว ทุกวันนี้เราเห็นอยู่รอบๆตัวของเรา ทั้งคนที่เราสนิท และคนแปลกหน้า  ต่างพากันตื่นตัวกันทำบุญ ตักตวงบุญ สร้างถาวรวัตถุ กันอย่างมากมายมโหฬาร  ทั้งการ แข่งกันจัดต้นกฐิน ต้นผ้าป่า อย่างวิจิตรบรรจง เพื่อจะได้ดูสวยสง่ากว่าใครอื่นเขา ต่างแข่ง ขันกันทุกรูปแบบ ต่างพากันดึงมวลชนเข้าไปหา ทั้งจำนวนของทรัพย์ ทั้งจำนวนคน กันอย่าง เต็มอัตราศึก เพื่ออะไร ก็ตอบคล้ายๆกันเพื่อทำความดี เพื่อบุญกุศล เพื่อขอให้ชาติหน้าเป็น อย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง         ทำไมหนอในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์จึงไม่ดำริให้สร้างพระพุทธรูป หรือ สิ่งอื่นเพื่อ แสดง ตรา สัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ แม้จวบจนปัจฉิมวัย จวนเจียนจะปรินิพพานเต็มทน แล้ว พระองค์ก็ยังให้เอาพระธรรมมาเป็นสรณะ เอาธรรมมาเป็นศาสดา         แล้วทุกวันนี้ เราได้ทำความ ปัจฉิมโอวาทของพระองค์แล้วหรือยัง เรากำลังหลงทางไปทางไหน เรากำลังสร้าง สร้าง สร้าง และ สร้าง อะไรต่อมิอะไร ขึ้นมากันอีกมากมาย เรากำลังสร้างอะไรกัน เรากำลังหลงไปทางไหนอัน เรากลับพากันเอาพระธรรมคำสั่งสอนม...
          เราทุกวันนี้ ต่างมอง และให้ความสำคัญกับสิ่งภายนอก มากกว่าจะให้ความสำคัญในคุณค่าที่ตนเองมี           ตั้งแต่เริ่มลืมตาตื่นขึ้นมาตอนไหน สัมผัสแรก หรือ ผัสสะแรกที่รับรู้คือ ความสุขใจ ความไม่ไม่สบายใจ หรือไร้อารมณ์ใดๆ กับความเคยชินที่มีมากเสียจน ลบเลือนสติ สัมปชัญญะที่ควรจะมี ต่างเพ่งโทษต่อผู้ที่เราไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ด้วยมุมมองที่ยึดอุปาทานที่ก่อกำเนิดมาจากผัสสะ แล้วบันทึกจดจำในสัญญา ว่านั่นคือสิ่งที่เราถูกใจ ว่านั่นคือสิ่งที่เราไม่ถูกใจ ที่เรียกว่า เวทนา เพราะเวทนาตัวนี้เองจึงเกิดความทะยานอยาก ถูกใจ ก็อยากเห็น อยากได้มาครอบครอง ไม่ถูกใจ ก็ไม่อยากเห็น ไม่อยากเข้าใกล้ ตั้งข้อรังเกลียด สิ่งเหล่านี้คือ ตัณหา อันเป็นผลพวงของเวทนา 3 ที่ประกอบด้วย สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุขมเวทนา              เมื่อตัณหาคือความอยาก ความดิ้นรน ที่จะครอบครอง หรือพยายามที่จะผลักดันออกไปเมื่อไม่สบอารมณ์ หรือ การแสดงอาการประหนึ่งไม่ยินดียินร้ายใดๆ ย่อมแปรเปลี่ยนเป็นอุปาทาน  คือการยึดครอง แบ่งฝักฝ่าย ว่านี่ของเรา นี่ของเขา ค...

ลองยลก็เห็นธรรม ลองทำก็เห็นเอง

การเข้าสู่สภาวะธรรม คือ การคืนสู่ธรรมชาติของจิต เพียงรู้ แต่ไม่ยึด เพียงรู้สึก สักแต่ว่า เพียงเห็น การเกิด ดับ ของสรรพสิ่ง ไม่ใช่เห็น ความนึกคิด ลองยลก็เห็นธรรม ลองทำก็เห็นเอง ................................ธนัชพงศ์..........................

ทำดี ต้องได้ ดี ทำชั่ว ต้องได้ ชั่ว ขึ้นอยู่กับเวลา

                   หลายคนที่ยังไม่เข้าใจธรรมดีพอ และพอดี ก็มักจะสรุปเอาเองว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป  หลักของพระพุทธศาสนาแล้วเน้นที่กฎแห่งกรรม หรือ การเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏฏะ  อภิณหปัจจเวกขณ์ ได้กล่าวไว้ว่า  ชราธัมโมมหิ  ชะรัง อะนะติโต                    มีความแก่เป็นธรรมดา  จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ พะยาธิธัมโมมหิ  พะยาธิง  อะนะตีโต           มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา  จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ มะระณะธัมโมมหิ  มะระณัง  อะนะตีโต         มีความตายเป็นธรรมดา  จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ สัพเพหิ  เม  ปิเยหิ  มะนาเปหิ  นานาภาโว  วินาภาโว                                                           จักพลัดพราก...

สุข หรือ ทุกข์ อยู่ที่เราหันไปหามันเอง

รูปภาพ
สุข หรือ ทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ใจ หรอก  อยู่ที่เราจะหันไปหาสุข หรือ  หันไปหาทุกข์  หันไปหาสุข ใจก็สุข หันไปหาทุกข์ ใจมันก็ทุกข์                  ใจน่ะ มาทีหลัง          ไอ้ที่หันไปหา นั่นมาก่อน            สิ่งนั้นคือ ผัสสะ นั่นเอง