๘. มุนีสูตร
[๒๔๕] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มี
พระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นผู้รู้ ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ ความ
เป็นผู้รู้ทางกาย ๑ ความเป็นผู้รู้ทางวาจา ๑ ความเป็นผู้รู้ทางใจ ๑ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ความเป็นผู้รู้ ๓ อย่างนี้แล ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาค
ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้กล่าวบุคคล
ผู้รู้ทางกาย ผู้รู้ทางวาจา ผู้รู้ทางใจ ผู้หาอาสวะมิได้
ว่าเป็นมุนี ผู้ถึงพร้อมด้วยความเป็นมุนี มีบาปอันล้างแล้ว ฯ
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๕๖๘๙ - ๕๗๐๒. หน้าที่ ๒๕๑.

อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต
ทุติยวรรค มุนีสูตร
อรรถกถามุนีสูตร
ในมุนีสูตรที่ ๘ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ในบทว่า โมเนยฺยานิ นี้ บุคคลชื่อว่า มุนิ เพราะรู้ทั้งโลกนี้และโลกหน้า และทั้งประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่น ได้แก่พระเสกขะบุคคล ๗ จำพวกพร้อมด้วยกัลยาณปุถุชนและพระอรหันต์ แต่ในที่นี้ทรงประสงค์เอาพระอรหันต์เท่านั้น. ความเป็นแห่งมุนี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าโมเนยยะ ได้แก่ กายสมาจาร วจีสมาจาร และมโนสมาจารของพระอรหันต์. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมคือโมเนยยปฏิปทา ที่ทำให้เป็นมุนี ชื่อว่าโมเนยยะ.
โมเนยยะเหล่านั้น มีความพิสดารดังต่อไปนี้
บรรดาโมเนยยะทั้ง ๓ นั้น กายโมเนยยะเป็นอย่างไร? คือการละกายทุจริต ๓ อย่าง ชื่อว่ากายโมเนยยะ. กายสุจริต ๓ อย่าง ชื่อว่ากายโมเนยยะ. ญาณในธรรมที่มีกายเป็นอารมณ์ ชื่อว่ากายโมเนยยะ. การกำหนดรู้กาย ชื่อว่ากายโมเนยยะ. มรรคที่สหรคตด้วยการกำหนดรู้กาย ชื่อว่ากายโมเนยยะ. การละฉันทราคะในกาย ชื่อว่ากายโมเนยะ. การเข้าจตุตถฌาน มีการดับกายสังขาร ชื่อว่ากายโมเนยยะ.
บรรดาโมเนยยะทั้ง ๓ นั้น วจีโมเนยยะเป็นอย่างไร? คือการละวจีทุจริต ๔ อย่าง ชื่อว่าวจีโมเนยยะ. วจีสุจริต ๔ อย่าง ชื่อว่าวจีโมเนยยะ. ญาณในธรรมมีวาจาเป็นอารมณ์ ชื่อว่าวจีโมเนยยะ. การกำหนดรู้วาจา ชื่อว่าวจีโมเนยยะ. มรรคที่สหรคตด้วยการกำหนดรู้วาจา ชื่อว่าวจีโมเนยยะ. การละฉันทราคะในวาจา ชื่อว่าวจีโมเนยยะ. การเข้าทุติยฌาน มีการดับวจีสังขาร ชื่อว่าวจีโมเนยยะ.
บรรดาโมเนยยะทั้ง ๓ อย่างนั้น มโนโมเนยยะเป็นอย่างไร? คือการละมโนทุจริต ๓ อย่าง ชื่อว่ามโนโมเนยยะ. มโนสุจริต ๓ อย่าง ชื่อว่า มโนโมเนยยะ. ญาณในธรรมมีใจเป็นอารมณ์ ชื่อว่ามโนโมเนยยะ. การกำหนดรู้ใจ ชื่อว่ามโนโมเนยยะ. มรรคที่สหรคตด้วยการกำหนดรู้ใจ ชื่อว่ามโนโมเนยยะ. การละฉันทราคะในใจ ชื่อว่ามโนโมเนยยะ. การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มีการดับจิตสังขาร ชื่อว่ามโนโมเนยยะแล

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
 |
 |
มุนีสูตรที่ ๑๒
[๓๑๓] ภัยเกิดแต่ความเชยชม ธุลีคือราคะ โทสะ และโมหะ
ย่อมเกิดแต่ที่อยู่ ที่อันมิใช่ที่อยู่และความไม่เชยชมนี้แล
พระพุทธเจ้าผู้เป็นมุนีทรงเห็น (เป็นความเห็นของมุนี)
ผู้ใดตัดกิเลสที่เกิดแล้ว ไม่พึงปลูกให้เกิดขึ้นอีก เมื่อกิเลส
นั้นเกิดอยู่ ก็ไม่พึงให้หลั่งไหลเข้าไป บัณฑิตทั้งหลายกล่าว
ผู้นั้นว่าเป็นมุนีเอก เที่ยวไปอยู่ ผู้นั้นเป็นผู้แสวงหาคุณ
อันใหญ่ ได้เห็นสันติบท ผู้ใดกำหนดรู้ที่ตั้งแห่งกิเลส
ฆ่าพืชไม่ทำยางแห่งพืชให้หลั่งไหลเข้าไป ผู้นั้นแลเป็นมุนี
มีปรกติเห็นที่สุดแห่งความสิ้นไปแห่งชาติ ละอกุศลวิตกเสีย
แล้ว ไม่เข้าถึงการนับว่าเป็นเทวดาหรือมนุษย์ ผู้ใดรู้ชัดภพ
อันเป็นที่อาศัยอยู่ทั้งปวง ไม่ปรารถนาภพอันเป็นที่อาศัยอยู่
เหล่านั้นแม้ภพหนึ่ง ผู้นั้นแลเป็นมุนี ปราศจากกำหนัด
ไม่ยินดีแล้ว ไม่ก่อกรรม เป็นผู้ถึงฝั่งโน้นแล้วแล อนึ่ง
ผู้ครอบงำธรรมได้ทั้งหมด รู้แจ้งธรรมทุกอย่าง มีปัญญาดี
ไม่เข้าไปติด (ไม่เกี่ยวเกาะ) ในธรรมทั้งปวง ละธรรมได้
ทั้งหมด น้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา นักปราชญ์
ย่อมประกาศว่าเป็นมุนี อนึ่ง ผู้มีกำลังคือปัญญาประกอบด้วย
ศีลและวัตร มีจิตตั้งมั่น ยินดีในฌาน มีสติ หลุดพ้นจาก
เครื่องข้อง ไม่มีกิเลสดุจหลักตอ ไม่มีอาสวะ นักปราชญ์
ย่อมประกาศว่าเป็นมุนี หรือผู้เป็นมุนี (มีปัญญา) ไม่
ประมาท เที่ยวไปผู้เดียว ไม่หวั่นไหวเพราะนินทาและ
สรรเสริญ ไม่สะดุ้งหวาดเพราะโลกธรรม เหมือนราชสีห์
ไม่สะดุ้งหวาดเพราะเสียง ไม่ข้องอยู่ในตัณหาและทิฐิ
เหมือนลมไม่ข้องอยู่ในตาข่าย ไม่ติดอยู่กับโลก เหมือน
ดอกบัวไม่ติดอยู่กับน้ำ เป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้ที่ใครๆ อื่นจะพึง
นำไปได้ นักปราชญ์ย่อมประกาศว่าเป็นมุนี หรือแม้ผู้ใดไม่ถึง
ความยินดีหรือยินร้าย ในเรื่องที่ผู้อื่นกล่าววาจาด้วยอำนาจ
การชมหรือการติ เหมือนเสามีอยู่ที่ท่าเป็นที่ลงอาบน้ำ ผู้นั้น
ปราศจากราคะ มีอินทรีย์ตั้งมั่นดีแล้ว นักปราชญ์ย่อมประกาศ
ว่าเป็นมุนี หรือแม้ผู้ใดแลดำรงตนไว้ซื่อตรงดุจกระสวย
เกลียดชังแต่กรรมที่เป็นบาป พิจารณาเห็นกรรมทั้งที่ไม่เสมอ
และที่เสมอ (ทั้งผิดทั้งชอบ) ผู้นั้นนักปราชญ์ย่อมประกาศว่า
เป็นมุนี หรือแม้ผู้ใดยังหนุ่มแน่นหรือปูนกลาง สำรวมตน
ไม่ทำบาป เป็นมุนี มีจิตห่างจากบาป ไม่โกรธง่าย ไม่ว่าร้าย
ใครๆ ผู้นั้นนักปราชญ์ย่อมประกาศว่าเป็นมุนี หรือแม้
ผู้ใดอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เป็นอยู่ ได้ก้อนข้าวแต่ส่วนที่ดี
ส่วนปานกลางหรือส่วนที่เหลือ ไม่อาจจะกล่าวชม ทั้งไม่
กล่าวทับถมให้ทายกตกต่ำ ผู้นั้นนักปราชญ์ย่อมประกาศว่า
เป็นมุนี หรือแม้ผู้ใดไม่หมกมุ่นอยู่ในรูปแห่งหญิงอะไรๆ
ที่กำลังเป็นสาวเป็นผู้รู้เที่ยวไปอยู่ ปราศจากความยินดีใน
เมถุน ไม่กำหนัด หลุดพ้นแล้วจากความมัวเมาประมาท
ผู้นั้นนักปราชญ์ย่อมประกาศว่าเป็นมุนี หรือแม้ผู้รู้จักโลก
เห็นปรมัตถประโยชน์ ข้ามพ้นโอฆะและสมุทร เป็นผู้คงที่
ตัดกิเลสเครื่องร้อยรัดได้ขาดแล้ว อันทิฐิหรือตัณหาอาศัยไม่
ได้แล้ว ไม่มีอาสวะ ผู้นั้นนักปราชญ์ย่อมประกาศว่าเป็นมุนี
คนทั้งสองไม่เสมอกัน มีที่อยู่และความเป็นอยู่ไกลกัน คือ
คฤหัสถ์เลี้ยงลูกเมีย ส่วนภิกษุไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา
มีวัตรงาม คฤหัสถ์ไม่สำรวมเพราะบั่นรอนสัตว์อื่น ภิกษุเป็น
มุนี สำรวมเป็นนิตย์ รักษาสัตว์มีชีวิตไว้ นกยูงมีสร้อยคอ
เขียว บินไปในอากาศ ยังสู้ความเร็วของหงส์ไม่ได้ในกาล
ไหนๆ ฉันใด คฤหัสถ์ทำตามภิกษุผู้เป็นมุนี สงัดเงียบ
เพ่งอยู่ในป่าไม่ได้ ฉันนั้น ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๗๖๐๐ - ๗๖๖๑. หน้าที่ ๓๓๓ - ๓๓๕.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น