The wall กำแพงที่มันหายไป ตอน 2

หลายคนก็ว่าต้องไปแก้นะ ปีนี้ชงเต็มๆมีแต่สูญเสียนะทำอะไรก็ไม่ได้ดี
ก็ได้แต่รับฟังนะ ใครจะว่าอย่างไรมันสิทธิของเขา

อย่างกับเพลงอกหักก็ดี เสียงเศร้าๆก็ดี คนเขาก็เปิดของเขากันทุกวัน ไม่ได้จำเพาะต้องมาเปิดเอาตอนที่เรากำลังเศร้าเสียเมื่อไหร่ นั่นเพราะเราคิดเข้าข้างตัวเองต่างหาก

จิตใจของคนจะเหมือนกันคล้ายกัน จะไปหารักในนิยายว่าจะครองคู่กันจนแก่เฒ่า มันเป็นเรื่องของกรรมในอดีตที่สร้างร่วมกันมามากน้อยเท่าไหร่ หมดเหตุหมดปัจจัยที่มาประกอบก็จำต้องแยกจากกัน หรืออาจเกิดจากกรรมของเราเองที่เคยไปทำกับเขามาก่อน แบบนั้นบ้างแบบนี้บ้าง

คนเรามักเข้าข้างตัวเอง สิ่งใดที่ตัวเองกำลังทุกข์ก็จะพยายามหาสิ่งที่แสดงถึงความทุกข์มาเป็นเพื่อน นี่คือสิ่งที่เราคิดไปเอง

มีหลายสิ่งมากมายที่เป็นสิ่งที่ดีๆที่เข้ามาเหมือนกัน แต่ทำไมเราไม่เห็น เพราะเรากำลังเศร้าโศกเสียใจอยู่นั้นเอง

ใครที่เข้ามาอ่านตรงนี้ อยากบอกว่า อย่าได้โกรธ โทษใครเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ มันไม่เที่ยงนะ แม้แต่ให้เรานั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานๆเรายังต้องขยับก้นบ้างเลย นับประสาอะไรกับชีวิตของคน ยิ่งเป็นคนอื่นด้วยแล้ว ตัวเราเองยังทนการอยู่แบบเดิมไม่ได้ ใจก็เหมือนกันเรารักเราชอบคนๆนี้อย่างมาก พอมีคนอื่นที่มีน่าตา น้ำเสียง ที่ผ่านเข้ามา เรายังนึกชอบ นึกถูกใจ คนอื่นก็เป็นอย่างเราเหมือนกัน อย่างเข้าข้างตนเองอยู่อีกเลย คนไม่ใช่สิ่งของ จะหยิบจะจับให้อยู่ตรงไหน ก็จะอยู่อย่างนั้น

เมื่อเราเห็นธรรมมากขึ้น เราจะเห็นทุกข์ได้ชัดเจนขึ้น เห็นเหตุที่มาของทุกข์คือสมุทัยได้แจ่มแจ้งขึ้น เราก็จะดำเนินชีวิตของเราไปอย่างปกติสุข พระพุทธองค์สอนให้เรารู้จักทุกข์ แต่เราพากันมายึด จับ ทุกข์ไว้ว่าทำไมต้องเป็นเรา อย่างสมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์ เกิดจากอะไร เมื่อมองอย่างไม่มีอคติเราจะเห็นอะไรๆได้แจ่มแจ้งขึ้นจริงๆ

ธรรมคือธรรมชาตที่เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างปกติสุข เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรม หรือ ธรรมชาติ มองด้วยใจเป็นกลางไม่มีอคติก็จะเห็นตามความเป็นจริง

สิ่งที่เกิดขึ้นคือเวทนา เพราะการเกิดขึ้นของผัสส การเข้าไปรับรู้ด้วยวิญญาณ(สิ่งที่เข้าไปรับรู้ในประตูทั้งหก) ผัสสะเปรียบเหมือนประตูของบ้าน บ้านในที่นี้ก็คือตัวของเราเอง เปิดประตูไหน วิญญาณก็ออกมาต้อนรับประตูนั้น วิญญานจึ่งเปรียบเหมือนเจ้าของบ้านผู้มีใจอารีย์ เมื่อเปิดออกมาต้อนรับ ด้วยสัีญญาเป็นตัวบ่งบอกว่านี่คืออะไร นั่นเรียกว่าอะไร เปรียบเหมือนเมมโมรี่ที่คอยบอกว่า เมื่อเราเห็นสิ่งนี้ หรือได้ยินเสียงนี้ ได้ลิ้มรสชาดแบบนี้ ได้กลิ่นแบบนี้ ได้สัมผัสแบบนี้ รับรู้ทางใจแบบนี้ เราชอบ หรือ ไม่ชอบ หรือไม่รู้สึกอะไรเลย นี่เขาเรียกว่าเวทนาได้เกิดขึ้นแล้ว.......


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กฏกติกามารยาทของพระสงฆ์ ที่เรียกว่า ศีล 227

ปฏิทินลวงโลก

วิธีจุดไฟแบบอัจฉริยะ