การอ่านพระไตรปิฎก

          เวลาเราไปอ่านเจอใครนำพระไตรปิฎกเกี่ยวกับ พระสูตร ก็ดี
อรรถกถา ก็ดี พระสุตตันต ก็ดี หรือ พระวินัย ไม่ควรจะอ่านผ่านๆแล้ว
กดถูกใจเสียทีเดียว ควรหาที่มาของเนื้อหาที่นำมาลง เพื่อตรวจทาน
ดูว่าสิ่งที่เราเห็นเป็นเนื้อหาในพระไตรปิฎกจริงหรือไม่ หรือ เป็นเพียง
ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้นำมาเผยแผ่ผนวกกับเนื้อหาในพระไตรปิฎก
          จะว่าไปแล้วเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะนำเสนออะไรก็ได้ ตามแต่
ที่ตนเองสนใจ และก็ศึกษามาดี โดยไม่นึกเฉลียวใจเลยว่า การนำความ
คิดเห็นส่วนตัวใส่ลงไปในเนื้อหาที่มีอยู่จริงในพระไตรปิฎก ผิดเพี้ยนไป
จากของเดิม แล้วก็พากันจดจำกันผิดๆ แม้แต่ตัวผู้แปลพระไตรปิฎกเอง
ยังต้องใช้ความระมัดระวังในการแปล ต้องเทียบเคียงศัพท์ไม่ให้ผิดเพี้ยน
ไปจากความหมายเดิมในภาษาบาลี ด้วยสิ่งที่ทุกท่านเกรงกลัวกันไม่ใช่
กลัวตำรวจมาจับ คนจะว่าร้ายอะไร แต่สิ่งที่กลัวคือ เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว จะต้อง
ไปตอบคำถามต่อพระยายมราช ว่าทำไมจึงไปเปลี่ยนแปลงคำสอนใน
พระไตรปิฎก โทษของการเปลี่ยนแปลงคำสอนสุดที่จะพรรณา ที่สุดถึง
อเวจีมหานรก สุดแท้ว่าทำด้วยความตั้งใจเพียงใด
          จึงของเตือนไว้ว่า จะเชื่อก็รอด จะไม่เชื่อก็ได้ ไว้ตายเมื่อไหร่
ก็จะประจักษ์แก่ใจเองว่า ผู้บันทึกมัวนิ่ม หรือ เป็นความจริง ตำรวจไม่จับ
          การอ่านพระไตรปิฎก โดยหลักแล้ว เพื่อต้องการรู้ว่า แท้จริงแล้ว
พระพุทธเจ้าสอนอะไร ส่วนใครจะจดจำว่า สอนที่ไหน สอนกับบุคคลใด
ก็แล้วแต่ตามอัธยาศรัยของผู้นั้น ไม่ได้มาคัดกรองว่านี้เป็นคำสอนของ
พระพุทธเจ้า นี่ไม่ใช่ มีหลายคนได้เข้ามาถามว่า เขาเชื่อแต่พุทธวัจนะ
ก็มีการถามกลับไปว่า เขารู้ได้อย่างไรว่า นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
นี่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนของสาวก เขาก็ตอบว่า ก็ดู
จากตำราบ้าง ดูจากเนื้อความตอนช่วงต้นพระสูตรบ้างที่เกรินนำว่า
"ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้...."
ก็เลยถามกลับไปว่าแล้วคำสอนของสาวกล่ะ เขาบอกว่าไม่ควรเชื่อ เชื่อเฉพาะ
พุทธวัจนะก็พอ เชื่อที่พระพุทธเจ้าบอกพอแล้ว
ก็เลยถามย้ำว่า คำพูดหรือคำสอนของสาวกเชื่อไม่ได้ ใช่มั๊ย เขาตอบว่าใช่ 
เชื่อไม่ได้ 
ก็เลยถามต่อไปว่า เคยได้ยิน พระพุทธเจ้าสอนหรือ เขาก็ตอบว่าเกิดไม่ทันจะ
ได้ยินได้ฟังอย่างไร
ก็เลยถามต่อไปว่า "ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้...."เป็นคำพูดของใคร เขาตอบว่า
ท่านพระอานนท์ 
ก็เลยถามต่อไปว่า ท่านพระอานนท์พูด ก็เลยเชื่อว่าเป็นคำที่พระพุทธเจ้าสอนใช่มั๊ย 
เขาตอบว่าถูกต้องแล้ว
ก็เลยถามต่อไปว่า แล้วพระอานนท์ เป็นใคร เขาตอบว่า เป็นพุทธอุปฐากของพระพุทธ

เจ้า 
ก็เลยถามต่อไปว่า แล้วก็เป็นสาวกด้วยใช่มั๊ย เขาตอบว่าใช่
ก็เลยถามต่อไปว่า ไหนว่าคำของสาวกเชื่อไม่ได้ยังไงเล่า เขาไม่ตอบ
ก็เลยบอกต่อไปว่า พระพุทธศาสนายั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้ได้ เพราะอาศัยเหล่าพระ
สาวก พระอรหันต์ทั้งหลายจดจำ ท่องต่อๆกันมา นับเป็นพันปี กว่าที่พระอรหันต์
ที่เป็นสาวก จะนำคำสอนมาสอนต่อได้ พระพุทธเจ้าได้พิสูจน์แล้ว เขาได้โอกาส
เลยถามกลับมาว่า พิสูจน์อย่างไร ก็ตอบให้ฟังว่า ครั้งหนึ่ง มีภิกษุรูปหนึ่งได้จดจำ
คำสอนมาผิดๆแล้วนำมาบอกต่อกัน พระองค์ทรงทราบเหตุจึงเรียกว่าไต่ถาม
ได้ความตามที่บอกกล่าวมาจริง พระองค์เรียกภิกษุนั้นว่า "โมฆบรุษ" ที่แปลว่า
บุคคลที่ว่างเปล่า ภิกษุในสมัยนั้นเกรงกลัวกันมาก แม้ผิดเพียงเล็กน้อย หรือ ผิด
เพี้ยนไปจากที่พระองค์บัญญัติขึ้น ยังปริวิตกกันต้องมาถามว่าถูกต้อง หรือไม่
ต่อเบื้องพระพักต์ของพระองค์ท่าน ไม่ต้องกังวลไปหรอกคุณ ว่าเป็นคำสอนของ
ใคร ก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่สอนๆกันอยู่
ไม่ได้คิดเอง ตรัสรู้เองหรอก เอาคำของพระพุทธเจ้ามาพูดกันทั้งนั้น เพราะคำของ
พระสาวกเจ้าทั้งหลายนี่แหละ จึงมีพระพุทธศาสนามาจนทุกวันนี้
พราหมณ์ทุบหลังพระสารีบุตร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

กฏกติกามารยาทของพระสงฆ์ ที่เรียกว่า ศีล 227

ปฏิทินลวงโลก

วิธีจุดไฟแบบอัจฉริยะ