ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว ว่าเกิดมาต้องตายกันทุกคน ทุกชีวิต ทำไมคนเราจึงกลัวความตายได้มากมายเพียงนั้น ต่างพากันแสวงหายาอายุวัฒนะ ยาชะลอความแก่เฒ่า พยายามลบรอยเหี่ยวย่นตามร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้า และเส้นผม
ความตายเหมือนการนอนหลับ เมื่อตื่นขึ้นมา อาจจะได้พบเจอกับเรื่องราวใหม่ๆ กับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ คนรักใหม่ๆ ประสพการณ์ใหม่ๆ พบบททดสอบทางอารมณ์ใหม่ๆ ทั้งความสุขใหม่ๆ ความทุกข์ใหม่ๆ วนเวียนซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า กับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา
คนส่วนใหญ่ไม่ได้กลัวตายอย่างที่คิดกัน สิ่งที่กลัวคือ กลัวการพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รัก ที่พอใจ ที่พึงใจ กลัวข้าวของเงินทองที่อุตสาห์หามาทั้งชีวิตไปตกอยู่กับคนอื่น กลัวภรรยาที่ยังสาวไปมีสามีใหม่ กลัวสามีของตนไปมีภรรยาใหม่ กลัวสิ่งที่ตนเคยมีจะสูญเสียไป ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่า ใดๆในโลกนี้ล้วนไม่มีใครนำติดตัวไปได้เลย แม้แต่พระพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ได้นำสิ่งใดติดพระองค์ไป หลายคนเกิดมาทันเห็น ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด ลุง ป้า น้า อา ทั้งคนที่รู้จัก และ ไม่รู้จัก ก็เห็นๆกันอยู่ว่า ท่านเหล่านั้นเวลามีชีวิตอยู่ต่างหวงแหนในสมบัติ ข้าวของ เงินทอง อสังหาริมทรัพย์มากมาย แต่เวลาตาย ก็ไม่มีใครนำติดตัวไป นอนแข็งทื่ออยู่ในโลง นอนแบมือตอนรดน้ำศพ แม้แต่เงินเหรียญที่ยัดในปาก ก็ยังนำไปไม่ได้
สิ่งที่นำติดตัวไป ก็คือ บุญ และ บาป ของผู้นั้น ที่กระทำตอนที่มีชีวิตอยู่ และครั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว เขาเหล่านั้นจะไปตามที่เราปรารถนาได้หรือ อย่างที่เราพากันบอกกล่าวว่า ขอให้ไปสวรรค์ ขอให้ไปนิพพาน ขอให้ไปสุขคติ ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้ไปตามที่ลูกหลาน หรือ ใครก็ตามที่อยากจะให้ไป ที่ที่พวกเขาจะไปก็ไม่พ้นที่ที่ พวกเขากระทำมาตอนมีชีวิตอยู่ เป็นผู้กำหนดว่าเขาควรไปเกิดใหม่ ณ ที่ใด สิ่งที่จะนำทางให้พวกเขาเหล่านั้นไปเกิด หรือ ที่เรียกว่า จุติจิต นั้น คือ จิต ดวงสุดท้าย ที่เขาเหล่านั้น คิด คิดดีก็ไปดี คิดไม่มีก็ไปตามที่นั้นๆ แม้จะทำบุญ สร้างกุศล มามากมายเพียงใด เมื่อจิตดวงสุดท้ายคิดไม่ดี จิต หรือ ปฏิสนธิจิต หรือ จุติจิต ก็พลันไปบังเกิดตามที่ใจของผู้นั้นคิดทันที..........
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น